นักวิเคราะห์จากเว็บไซต์ CompareCards.com เปิดเผยว่า การที่ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ประกาศปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยระยะสั้น 0.25% สู่ระดับ 1.75-2.00% ในการประชุมล่าสุดนั้น จะส่งผลให้ผู้บริโภคชาวอเมริกันต้องจ่ายหนี้บัตรเครดิตเพิ่มขึ้นเป็นมูลค่ารวม 2.2 พันล้านดอลลาร์สหรัฐต่อปี
CompareCards.com ระบุว่า ผู้ถือบัตรเครดิตของสหรัฐ ซึ่งในปัจจุบันมียอดหนี้สินรวมกันราว 1 ล้านล้านดอลลาร์ตามข้อมูลของเฟดนั้น จะต้องจ่ายดอกเบี้ยรวมกัน 2.2 พันล้านดอลลาร์ เมื่ออัตราดอกเบี้ยถูกปรับขึ้น 0.25%
ทั้งนี้ โดยปกติแล้วการที่เฟดจะปรับขึ้นหรือลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายนั้น มีเป้าหมายเพื่อควบคุมเงินเฟ้อของประเทศ และเมื่อใดที่อัตราดอกเบี้ยถูกปรับขึ้น ก็จะส่งผลให้ธนาคารพาณิชย์มีต้นทุนในการกู้ยืมเพิ่มขึ้น และท้ายที่สุดจะทำให้ธนาคารผลักภาระต้นทุนนี้ให้กับผู้บริโภค
คณะกรรมการกำหนดนโยบายการเงิน (FOMC) ของธนาคารกลางสหรัฐมีมติเป็นเอกฉันท์ให้ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยระยะสั้น 0.25% สู่ระดับ 1.75-2.00% ในการประชุมเมื่อวันพุธที่ผ่านมา
นอกจากนี้ คณะกรรมการเฟดได้ส่งสัญญาณปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยอีก 2 ครั้งในช่วงที่เหลือของปีนี้ โดยคาดว่าจะปรับขึ้นในเดือนก.ย. และธ.ค. ซึ่งส่งผลให้มีการคาดการณ์ว่าเฟดจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยรวม 4 ครั้งในปีนี้