World Today: สรุปประเด็นน่าติดตามประจำวันที่ 18 กันยายน 2561

ข่าวเศรษฐกิจ Tuesday September 18, 2018 09:08 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

ดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดปรับตัวลงเมื่อคืนนี้ (17 ก.ย.) เนื่องจากความวิตกกังวลเกี่ยวกับข้อพิพาททางการค้าที่ทวีความรุนแรงมากขึ้นระหว่างสหรัฐและจีน โดยรายงานล่าสุดระบุว่า ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ประกาศเรียกเก็บภาษีสินค้านำเข้าจากจีนเพิ่มอีก 2 แสนล้านดอลลาร์ นอกจากนี้ การร่วงลงของหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีและกลุ่มค้าปลีกยังเป็นอีกปัจจัยที่ฉุดตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดในแดนลบเช่นกัน

-- นายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐประกาศเรียกเก็บภาษีสินค้านำเข้าจากจีนเพิ่มอีก 10% คิดเป็นวงเงิน 2 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐ โดยจะมีผลบังคับใช้อย่างเป็นทางการในวันที่ 24 กันยายนนี้ ครอบคลุมสินค้าถึงเกือบ 6,000 รายการ รวมถึง กระเป๋าถือ, ข้าวและสิ่งทอ ส่วนสินค้าจำพวกสมาร์ทวอทช์ ไม่รวมอยู่ในรายการสินค้าที่เรียกเก็บภาษีนำเข้าในครั้งนี้

นับตั้งแต่วันที่ 24 ก.ย. สหรัฐจะเริ่มเก็บภาษีนำเข้าจากจีนในอัตรา 10% และจากนั้นจะเพิ่มเป็น 25% ตั้งแต่ช่วงต้นปีหน้า นอกเสียจากว่า ทั้งสองประเทศจะสามารถทำข้อตกลงกันได้

ประธานาธิบดีทรัมป์กล่าวว่า การเรียกเก็บภาษีนำเข้าสินค้าจีนรอบล่าสุดเป็นการตอบโต้ต่อแนวปฏิบัติทางการค้าที่ไม่เป็นธรรมของรัฐบาลจีน รวมถึงเงินอุดหนุนและกฎระเบียบที่กำหนดให้บริษัทต่างชาติในบางภาคส่วนต้องเข้าร่วมเป็นหุ้นส่วนกับบริษัทท้องถิ่น พร้อมเตือนว่า หากจีนดำเนินการตอบโต้ตามที่เคยประกาศไว้ สหรัฐจะเริ่มมาตรการระยะที่ 3 ในทันที ซึ่งหมายถึงการเรียกเก็บภาษีนำเข้าอีกระลอกในวงเงิน 2.67 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐ

ด้านตลาดการเงินจับตาท่าทีของจีนอย่างใกล้ชิด หลังจากจีนได้เตือนไว้ก่อนหน้านี้ว่าจะใช้มาตรการตอบโต้ หากสหรัฐเรียกเก็บภาษีนำเข้าจากจีนเพิ่มอีก 2 แสนล้านดอลลาร์

-- นายมูน แจ อิน ประธานาธิบดีของเกาหลีใต้เดินทางถึงกรุงเปียงยางแล้วในวันนี้ ท่ามกลางการต้อนรับอย่างอบอุ่นจากนายคิม จอง อึน ผู้นำสูงสุดของเกาหลีเหนือ เพื่อพบหารือในการประชุมสุดยอดครั้งที่ 3 ท่ามกลางความหวังฟื้นการเจรจากระบวนการปลดอาวุธนิวเคลียร์บนคาบสมุทรเกาหลีขึ้นอีกครั้ง

ประธานาธิบดีเกาหลีใต้จะปฎิบัติภารกิจเยือนเกาหลีเหนือเป็นเวลา 3 วัน ซึ่งถือเป็นการเดินทางเยือนกรุงเปียงยางครั้งแรกในรอบทศวรรษของผู้นำเกาหลีใต้ ขณะเดียวกันการประชุมสุดยอดในครั้งนี้นับเป็นครั้งที่ 3 หลังจากที่สองผู้นำได้พบปะกันที่หมู่บ้านปันมุนจอมเมื่อวันที่ 27 เม.ย. และ 26 พ.ค.ที่ผ่านมา

ทั้งนี้ การประชุมสุดยอดครั้งที่ 3 ระหว่างสองเกาหลีมีขึ้นในช่วงเวลาเดียวกันกับที่กระบวนการเจรจาปลดอาวุธนิวเคลียร์ระหว่างสหรัฐและเกาหลีเหนือต้องประสบกับภาวะชะงักงัน โดยหลายฝ่ายคาดการณ์ว่า ผู้นำทั้งสองฝ่ายจะมีการแลกเปลี่ยนความเห็นเกี่ยวกับแนวทางการบรรลุเป้าหมายการปลดอาวุธนิวเคลียร์ ลดความตึงเครียดทางทหาร ตลอดจนพัฒนาความสัมพันธ์ระหว่างสองเกาหลีและสนับสนุนการเจรจาระหว่างสหรัฐกับเกาหลีเหนือในการปลดอาวุธนิวเคลียร์บนคาบสมุทรเกาหลีด้วย

-- นายซาดิค ข่าน นายกเทศมนตรีกรุงลอนดอน เรียกร้องให้รัฐบาลอังกฤษจัดทำประชามติครั้งใหม่เกี่ยวกับการแยกตัวออกจากสหภาพยุโรป (Brexit) โดยระบุว่าการจัดการเจรจา Brexit ของนางเทเรซา เมย์ นายกรัฐมนตรีอังกฤษ ได้สร้างความสับสนและความขัดแย้ง รวมทั้งสร้างความเสียหายต่อประเทศ

โดยอังกฤษมีกำหนดแยกตัวอย่างเป็นทางการจากสหภาพยุโรป (EU) ในวันที่ 29 มี.ค.ปีหน้า แต่แผนการเกี่ยวกับ Brexit ของนางเมย์ยังคงไม่ได้รับการยอมรับ ส่งผลให้สมาชิกรัฐสภาอังกฤษ รวมทั้งสหภาพ และผู้นำในภาคธุรกิจ ต่างก็เรียกร้องให้ประชาชนสามารถมีสิทธิมีเสียงในการตัดสินใจรับหรือไม่รับข้อตกลง Brexit ที่รัฐบาลอังกฤษทำไว้กับ EU

ด้านนายกรัฐมนตรีเมย์แสดงท่าทีคัดค้านการจัดทำประชามติอีกครั้งหนึ่ง หลังชาวอังกฤษลงประชามติถอนตัวออกจาก EU เมื่อ 2 ปีก่อน โดยระบุว่า สมาชิกรัฐสภาอังกฤษจะเป็นผู้ลงคะแนนเสียงชี้ขาดว่าจะยอมรับข้อตกลง Brexit ขั้นสุดท้ายที่รัฐบาลอังกฤษทำไว้กับ EU หรือไม่ และในขณะที่เวลาใกล้หมดลงสำหรับการเจรจากับ EU รัฐบาลอังกฤษก็ได้เตรียมแผนรองรับการออกจาก EU โดยไม่มีทำข้อตกลง

-- นางคริสติน ลาการ์ด ผู้อำนวยการกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) กล่าวว่า เศรษฐกิจของอังกฤษจะหดตัว ถ้าหากมีการแยกตัวออกจากสหภาพยุโรป (Brexit) โดยไม่มีการทำข้อตกลงนอกจากนี้ยังระบุด้วยว่า เศรษฐกิจของอังกฤษจะยังคงได้รับผลกระทบไม่มากก็น้อย ไม่ว่าอังกฤษจะทำข้อตกลง Brexit กับสหภาพยุโรป (EU) ในรูปใดก็ตาม

IMF คาดการณ์ว่าเศรษฐกิจอังกฤษจะมีการขยายตัวเพียง 1.5% ในปีนี้และปีหน้า ซึ่งต่ำกว่าเยอรมนีและฝรั่งเศส ในกรณีที่อังกฤษสามารถทำข้อตกลง Brexit ในวงกว้างกับ EU

ทั้งนี้ เศรษฐกิจอังกฤษได้ชะลอตัวลงนับตั้งแต่การทำประชามติแยกตัวออกจาก EU ในปี 2559 และขณะนี้ยังคงมีตัวเลขการขยายตัวต่ำกว่าชาติร่ำรวยอื่นๆ ขณะเดียวกัน นางลาการ์ดยังระบุว่า IMF จะปรับลดตัวเลขคาดการณ์การขยายตัวของเศรษฐกิจโลกในรายงานที่จะมีการเปิดเผยในเดือนพ.ย.

-- ประธานาธิบดีวลาดิเมียร์ ปูตินแห่งรัสเซียหารือกับประธานาธิบดีเรเซป ตอยยิบ เออร์โดกันแห่งตุรกีเมื่อวานนี้ โดยผู้นำทั้งสองได้เห็นพ้องกันในการจัดตั้งเขตปลอดทหารระหว่างกองกำลังติดอาวุธของฝ่ายต่อต้านรัฐบาลซีเรีย และกองกำลังของรัฐบาลในเมืองอิดลิบของซีเรีย

ทั้งนี้ จังหวัดอิดลิบมีประชาชนอาศัยอยู่จำนวนราว 3 ล้านคน โดยเกือบครึ่งหนึ่งเป็นพลเรือนที่อพยพมาจากดินแดนอื่นของซีเรีย แต่ก็มีกลุ่มกบฏราว 10,000 คน ซึ่งรวมถึงกองกำลังที่เกี่ยวข้องกับกลุ่มอัลกออิดะห์อยู่ในจังหวัดดังกล่าวเช่นกัน

-- นายโรดริโก ดูเตอร์เต ประธานาธิบดีฟิลิปปินส์ กล่าวว่า ตนมีความต้องการที่จะสั่งระงับการทำเหมืองทั้งหมดในประเทศ หลังเกิดเหตุดินถล่มที่จังหวัดเบนกูเอท จนทำให้มีแรงงานในเหมืองเสียชีวิต 33 ราย และสูญหาย 29 ราย นอกจากนี้ยังระบุว่า ถึงแม้อุตสาหกรรมเหมืองทำรายได้ให้ประเทศ 7 หมื่นล้านเปโซ (1.3 พันล้านดอลลาร์) แต่ก็ไม่คุ้มค่าเมื่อพิจารณาความเสียหายที่เกิดจากการทำเหมืองที่ผิดกฎหมาย

เหตุการณ์ดินถล่มดังกล่าวมีสาเหตุจากซูเปอร์ไต้ฝุ่น"มังคุด"ซึ่งได้เคลื่อนตัวเข้าสู่ฟิลิปปินส์เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว และทำให้ชาวฟิลิปปินส์เสียชีวิตรวม 65 ราย

-- นักวิเคราะห์ของโกลด์แมน แซคส์ออกรายงานระบุว่า สหรัฐมีความเสี่ยงต่ำที่จะเข้าสู่ภาวะถดถอยในช่วง 3 ปีข้างหน้า

ทั้งนี้ โกลด์แมน แซคส์เปิดเผยว่า สหรัฐมีโอกาสน้อยที่จะเข้าสู่ภาวะถดถอยในระยะใกล้ และมีโอกาสเพียง 36% ที่จะเกิดภาวะถดถอยในช่วง 3 ปีข้างหน้า ซึ่งต่ำกว่าระดับเฉลี่ยในประวัติศาสตร์อย่างไรก็ดี ความอ่อนแอในตลาดเกิดใหม่และจีนได้ทำให้เกิดความกังวลกันว่าเศรษฐกิจสหรัฐจะได้รับผลกระทบในที่สุด

"ประสบการณ์ในประวัติศาสตร์บ่งชี้ว่าภาวะเศรษฐกิจถดถอยในสหรัฐได้เกิดขึ้นพร้อมกับภาวะถดถอยที่เกิดขึ้นในที่อื่น" รายงานระบุ

-- คณะกรรมการพัฒนาและปฏิรูปแห่งชาติจีน (NDRC) ประกาศว่า จีนจะปรับขึ้นราคาขายปลีกน้ำมันเบนซินและดีเซล โดยมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันนี้ ตามการปรับตัวของราคาน้ำมันดิบในตลาดโลก

ทั้งนี้ จีนจะปรับขึ้นราคาน้ำมันเบนซินและดีเซล 145 หยวน/ตันในวันนี้

NDRC ระบุว่าจะยังคงจับตาผลกระทบของกลไกราคาในปัจจุบัน และจะปรับปรุงกลไกดังกล่าวให้สอดคล้องกับการเปลี่ยนแปลงในตลาดโลก

ภายใต้กลไกปัจจุบัน จีนจะปรับราคาน้ำมันในกรณีที่มีการเปลี่ยนแปลงราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกซึ่งทำให้ราคาน้ำมันเบนซินและดีเซลของจีนเปลี่ยนแปลงมากกว่า 50 หยวน/ตันเป็นเวลา 10 วันทำการ

-- จับตาข้อมูลเศรษฐกิจของประเทศต่างๆที่มีกำหนดเปิดเผยในวันนี้ ธนาคารกลางออสเตรเลียมีกำหนดเปิดเผยรายงานการประชุม ขณะที่สหรัฐเตรียมเปิดเผยดัชนีตลาดที่อยู่อาศัยเดือนก.ย. จากสมาคมผู้สร้างบ้านแห่งชาติ (NAHB)

ส่วนในวันพรุ่งนี้ ญี่ปุ่นจะเปิดเผยยอดนำเข้า ยอดส่งออก และดุลการค้าเดือนส.ค. ธนาคารกลางญี่ปุ่น (BOJ) ประชุมนโยบายการเงินและแถลงมติอัตราดอกเบี้ย ด้านอียูจะเปิดเผย ดุลบัญชีเดินสะพัดเดือนก.ค. ส่วนอังกฤษเปิดเผยอัตราเงินเฟ้อเดือนส.ค. ขณะที่สหรัฐจะเปิดเผยตัวเลขการเริ่มสร้างบ้านและการอนุญาตก่อสร้างเดือนส.ค. ดุลบัญชีเดินสะพัดไตรมาส 2/2561 และสต็อกน้ำมันรายสัปดาห์จากสำนักงานสารสนเทศด้านพลังงานสหรัฐ (EIA)


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ