World Today: สรุปประเด็นน่าติดตามประจำวันที่ 19 พฤศจิกายน 2561

ข่าวเศรษฐกิจ Monday November 19, 2018 08:25 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

ดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดพุ่งขึ้น 123.95 จุด หรือ 0.49% เมื่อวันศุกร์ (16 พ.ย.) ขานรับถ้อยแถลงของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ที่ว่า จีนต้องการทำข้อตกลงการค้ากับสหรัฐและยังได้ส่งรายการสินค้าจำนวนมากให้สหรัฐได้ทราบถึงความตั้งใจของจีนที่จะเปิดกว้างทางการค้า

ปธน.ทรัมป์เปิดเผยกับผู้สื่อข่าวในห้องทำงานรูปไข่ที่ทำเนียบขาวเมื่อวันศุกร์ว่า จีนต้องการทำข้อตกลงการค้ากับสหรัฐ และได้ส่งรายการสินค้าจำนวนมากที่จีนได้เปิดกว้างทางการค้า ซึ่งแสดงให้เห็นว่าจีนต้องการคลี่คลายข้อพิพาททางการค้ากับสหรัฐ

ทั้งนี้ ปธน.ทรัมป์กล่าวว่า การที่สหรัฐได้ประกาศเรียกเก็บภาษีต่อสินค้านำเข้าของจีนนั้น ได้สร้างแรงกดดันต่อจีนจนทำให้จีนเห็นพ้องที่จะทำข้อตกลงการค้า

-- นายริชาร์ด แคลริดา รองประธานธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) กล่าวว่า เฟดใกล้ถึงจุดที่จะกำหนดให้อัตราดอกเบี้ยอยู่ในระดับที่เป็นกลางแล้ว และการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยต่อไป ควรอิงจากข้อมูลเศรษฐกิจที่ได้รับ

นายแคลริดากล่าวว่า ตลอดเวลาเกือบ 3 ปีที่เฟดปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย ได้ทำให้อัตราดอกเบี้ยระยะสั้นของเฟดใกล้ถึงระดับที่เป็นกลาง ซึ่งเป็นระดับที่ไม่ได้ช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจ และไม่ฉุดรั้งเศรษฐกิจ

ทั้งนี้ นายแคลริดาเป็นเจ้าหน้าที่เฟดรายที่ 2 ต่อจากนายราฟาเอล บอสติค ประธานเฟดสาขาแอตแลนตา ที่ระบุว่า เฟดใกล้ถึงระดับอัตราดอกเบี้ยที่เป็นกลางแล้ว

นอกจากนี้ นายแคลริดาตั้งข้อสังเกตว่า สมาชิกคณะกรรมการกำหนดนโยบายการเงินของเฟด (FOMC) คาดการณ์ว่าอัตราดอกเบี้ยระยะยาวอยู่ที่ระดับ 3% ขณะที่ระดับอัตราดอกเบี้ยนโยบายขณะนี้อยู่ที่ 2.00-2.25% และตลาดคาดการณ์ว่าเฟดจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยอีก 0.25% ในการประชุมเดือนหน้า

-- นายแลร์รี่ ซัมเมอร์ส อดีตรัฐมนตรีคลังสหรัฐ คาดการณ์ว่า สหรัฐมีโอกาส 50% ที่จะเผชิญภาวะเศรษฐกิจถดถอยภายในเวลา 2 ปีข้างหน้า

ทั้งนี้ นายซัมเมอร์สกล่าวว่า การชะลอตัวของเศรษฐกิจมีความเป็นไปได้มาก โดยได้รับผลกระทบจากภาวะปั่นป่วนในตลาดการเงิน, ความตึงเครียดทางภูมิรัฐศาสตร์ และการที่ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) เริ่มวัฏจักรคุมเข้มนโยบายการเงิน

นายซัมเมอร์สยังระบุว่า เฟดควรระวังในการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเร็วเกินไป แม้ว่าก่อนหน้านี้เขาเคยวิพากษ์วิจารณ์ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ที่พยายามเข้าแทรกแซงนโยบายการเงินของเฟด

-- นายไมค์ เพนซ์ รองประธานาธิบดีสหรัฐ ได้กล่าวสุนทรพจน์ในการประชุมกลุ่มความร่วมมือทางเศรษฐกิจเอเชียแปซิฟิก (เอเปก) ที่ปาปัวนิวกีนีเมื่อวันเสาร์ที่ผ่านมา โดยนายเพนซ์ได้กล่าวโจมตีจีนที่ดำเนินนโยบายการค้าที่ไม่เป็นธรรม ซึ่งรวมถึงการที่จีนมียอดเกินดุลการค้ากับสหรัฐเป็นจำนวนมาก

นายเพนซ์กล่าวว่า สหรัฐจะไม่ยุติการใช้มาตรการการค้ากับจีน จนกว่าจีนจะเปลี่ยนแปลงนโยบายการค้าให้มีความยุติธรรม

"ที่ผ่านมา สหรัฐได้ใช้มาตรการที่จริงจังในการแก้ไขภาวะไร้สมดุลทางการค้ากับจีน โดยเราได้ออกมาตรการเรียกเก็บภาษีนำเข้าสินค้าจากจีนในวงเงิน 2.50 แสนล้านดอลลาร์ และเราจะดำเนินการเรียกเก็บภาษีเพิ่มขึ้นอีก" นายเพนซ์กล่าว

-- นายสี จิ้นผิง ประธานาธิบดีจีน ได้ขึ้นกล่าวสุนทรพจน์ในการประชุมกลุ่มความร่วมมือทางเศรษฐกิจเอเชียแปซิฟิก (เอเปก) ที่ปาปัวนิวกีนีเมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา โดยประธานาธิบดีจีนเตือนว่า นโยบายกีดกันทางการค้าและการดำเนินนโยบายเพียงฝ่ายเดียวนั้น จะส่งผลกระทบต่อการเติบโตของเศรษฐกิจโลก พร้อมกับกล่าวว่า ไม่มีใครเป็นผู้ชนะในสงครามการค้า

ประธานาธิบดีจีนยังกล่าวด้วยว่า การเปิดกว้างและการร่วมมือกันเท่านั้นที่จะสามารถสร้างโอกาสและการพัฒนาได้มากยิ่งขึ้น พร้อมกับเรียกร้องให้ทุกฝ่ายร่วมมือกันในการปกป้องระบบการค้าพหุภาคี ซึ่งถือเป็นระบบที่องค์การการค้าโลก (WTO) ให้ความสำคัญ

-- นายปีเตอร์ โอนีล นายกรัฐมนตรีปาปัวนิวกินี ซึ่งเป็นเจ้าภาพจัดการประชุมกลุ่มความร่วมมือทางเศรษฐกิจเอเชียแปซิฟิก (เอเปก) เปิดเผยเมื่อวานนี้ว่า ที่ประชุมเอเปกปีนี้จะไม่มีการออกแถลงการณ์ร่วมระหว่างผู้นำประเทศภายหลังเสร็จสิ้นการประชุม

ทั้งนี้ เหตุการณ์ดังกล่าวถือเป็นครั้งแรกที่บรรดาผู้นำประเทศที่เข้าร่วมการประชุมไม่ออกแถลงการณ์ร่วมกัน นับตั้งแต่เริ่มมีการประชุมเอเปกเมื่อปี 2536

นายโอนีลซึ่งเป็นประธานการประชุมปีนี้ กล่าวกับผู้สื่อข่าวหลังเสร็จสิ้นการประชุมระยะเวลา 2 วัน ซึ่งจัดขึ้นที่เมืองพอร์ต มอเรสบี้ ของปาปัวนิวกินีว่า อาจมีการเปิดเผยแถลงการณ์ออกมาในภายหลัง

นายโอนีลกล่าวว่า ผู้นำเอเปกยังคงมีความเห็นที่แตกต่างกันในประเด็นเรื่องการปฏิรูปองค์การการค้าโลก (WTO) ท่ามกลางสัญญาณความขัดแย้งระหว่างประธานาธิบดีสี จิ้นผิง ของจีน และนายไมค์ เพนซ์ รองประธานาธิบดีสหรัฐ

-- ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ แห่งสหรัฐเปิดเผยว่า อาจมีการเปิดเผยรายงานฉบับเต็มเกี่ยวกับการเสียชีวิตของนายจามาล คาช็อกกี นักข่าวชาวซาอุดีอาระเบียของหนังสือพิมพ์วอชิงตัน โพสต์ เร็วๆนี้

ทรัมป์เปิดเผยกับผู้สื่อข่าวขณะเดินทางเยือนแคลิฟอร์เนียเมื่อวันเสาร์ที่ผ่านมาว่า เขาได้พูดคุยกับนางจีนา แฮสเปล ผู้อำนวยการสำนักข่าวกรองกลางสหรัฐ (CIA) ในประเด็นเรื่องการสังหารนายคาช็อกกีเรียบร้อยแล้ว

ทรัมป์กล่าวว่า การสังหารนายคาช็อกกีเป็นสิ่งที่น่าสะเทือนขวัญและเลวร้ายมาก พร้อมระบุว่า "เราจะมีรายงานฉบับสมบูรณ์ที่สุดออกมาในอีกสองวัน ซึ่งอาจเป็นวันจันทร์หรือวันอังคารที่จะถึงนี้"

-- ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ได้แสดงความเห็นถึงกรณีที่สื่อสหรัฐรายงานว่า สำนักข่าวกรองกลางสหรัฐ (CIA) สรุปว่า เจ้าชายโมฮัมเหม็ด บิน ซัลมาน มกุฎราชกุมารแห่งซาอุดีอาระเบีย เป็นผู้สั่งการให้สังหารนายจามาล คาช็อกกี นักข่าวชาวซาอุดีอาระเบีย

ทั้งนี้ ปธน.ทรัมป์กล่าวว่า "CIA ยังไม่ได้สรุปอะไรออกมาเลย มันเร็วเกินไป และรายงานก็ยังไม่ถูกเปิดเผยออกมา แต่ก็ไม่ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้ ซึ่งเรากำลังรอดูกันอยู่"

"เราจะมีรายงานออกมาในวันอังคาร และนี่จะเป็นรายงานที่มีความสมบูรณ์ที่สุด เรากำลังจะได้เห็นรายงานที่บอกได้ว่า เราคิดว่ามันเกิดจากอะไร ใครที่เป็นสาเหตุ และใครเป็นผู้ลงมือ" ปธน.ทรัมป์กล่าว

-- กระทรวงการคลังญี่ปุ่นเปิดเผยในวันนี้ว่า ญี่ปุ่นมียอดขาดดุลการค้า 4.493 แสนล้านเยนในเดือนต.ค. หลังจากยอดส่งออกเดือนต.ค. เพิ่มขึ้น 8.2% เมื่อเทียบเป็นรายปี ขณะที่ยอดนำเข้าพุ่งขึ้น 19.9%

-- นางเทเรซา เมย์ นายกรัฐมนตรีอังกฤษ แต่งตั้งนายสตีเฟน บาร์เคลย์ ให้ดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีฝ่ายกิจการการแยกตัวของอังกฤษออกจากสหภาพยุโรป (Brexit) แทนนายโดมินิค แรบ ซึ่งได้ประกาศลาออกเมื่อวันพฤหัสบดีที่ผ่านมา เนื่องจากไม่เห็นด้วยต่อข้อตกลง Brexit ที่นางเมย์ได้ยื่นต่อสหภาพยุโรป (EU)

-- นักลงทุนยังคงจับตาดูว่า ความขัดแย้งเกี่ยวกับข้อตกลงว่าด้วยการแยกตัวของอังกฤษออกจากสหภาพยุโรป (Brexit) จะยังคงส่งผลต่อเงินปอนด์และตลาดการเงินในสัปดาห์นี้หรือไม่ ท่ามกลางภาวะไร้เสถียรภาพทางการเมืองในอังกฤษ หลังจากที่รัฐมนตรี 4 คนได้ประกาศลาออกเนื่องจากไม่เห็นด้วยต่อข้อตกลง Brexit ของนางเมย์ โดยรัฐมนตรีทั้ง 4 คนได้แก่ นางซูเอลลา เบรเวอร์แมน รัฐมนตรีช่วยฝ่ายกิจการ Brexit นางแอน-มารี เทรเวลแยน รัฐมนตรีช่วยศึกษาธิการ นายโดมินิค แรบ รัฐมนตรีฝ่ายกิจการ Brexit และนางเอสเธอร์ แมคเวย์ รัฐมนตรีฝ่ายกิจการบำนาญของอังกฤษ

ท้งนี้ รัฐมนตรีทั้ง 4 คนนี้ต่างก็เป็นผู้สนับสนุนให้อังกฤษแยกตัวจาก EU โดยพวกเขาระบุว่า ข้อตกลง Brexit ระหว่างอังกฤษและ EU ไม่ได้บ่งชี้ถึงการแยกตัวอย่างเด็ดขาดจาก EU ตามที่ชาวอังกฤษที่ลงประชามติในปี 2559 ต้องการ

-- ผู้ว่าการธนาคารกลางของประเทศต่างๆ มีกำหนดกล่าวสุนทรพจน์ในสัปดาห์นี้ โดยในวันนี้ นายฮารุฮิโกะ คุโรดะ ผู้ว่าการธนาคารกลางญี่ปุ่น (BOJ) จะกล่าวสุนทรพจน์ในการประชุมที่กรุงโตเกียว ขณะที่นายฟรองซัวส์ วิลเลอรอย เดอ กอลฮอ ผู้ว่าการธนาคารกลางฝรั่งเศส จะกล่าวสุนทรพจน์ในการประชุมแห่งหนึ่ง และนายจอห์น วิลเลียม ประธานธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) จะกล่าวสุนทรพจน์ในวันนี้เช่นกัน

ส่วนในวันพรุ่งนี้ นายมาร์ค คาร์นีย์ จะแถลงต่อรัฐสภาอังกฤษในวันพรุ่งนี้ โดยคาดว่าจะมีการซักถามความเห็นในประเด็นข้อตกลงว่าด้วยแยกตัวของอังกฤษออกจากสหภาพยุโรป (Brexit)

-- จับตาข้อมูลเศรษฐกิจของประเทศต่างๆในวันนี้ โดยอียูจะเปิดเผยดุลบัญชีเดินสะพัดเดือนก.ย. และสหรัฐจะเปิดเผยดัชนีตลาดที่อยู่อาศัยเดือนพ.ย.จากสมาคมผู้สร้างบ้านแห่งชาติ (NAHB)

ส่วนในวันพรุ่งนี้ เกาหลีใต้จะเปิดเผยดัชนีราคาผู้ผลิต (PPI) เดือนต.ค. ธนาคารกลางออสเตรเลียเปิดเผยรายงานการประชุม เยอรมนีจะเปิดเผยดัชนีราคาผู้ผลิต (PPI) เดือนต.ค. และสหรัฐจะเปิดเผยตัวเลขการเริ่มสร้างบ้านและการอนุญาตก่อสร้างเดือนต.ค.


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ