การร่วงลงของราคาน้ำมันยังคงเป็นปัจจัยสำคัญที่ฉุดตลาดหุ้นสหรัฐร่วงลงเมื่อวันศุกร์ โดยดัชนีดาวโจนส์ปิดตลาดดิ่งลง 178.74 จุด หรือ 0.73% หลังจากราคาน้ำมันดิบ WTI ร่วงลง 4.21 ดอลลาร์ หรือ 7.7%
ทั้งนี้ การร่วงลงของราคาน้ำมันได้ฉุดหุ้นกลุ่มพลังงานปรับตัวลดลงอย่างหนัก โดยหุ้นมาราธอน ออยล์ คอร์ป ปรับตัวลดลง 4.63% หุ้นเทคนิป ปรับตัวลดลง 4.19% หุ้นเดวอน เอเนอร์จี ร่วงลง 5.68% และหุ้นคอนโช รีซอร์สเซส ร่วงหนัก 6.31%
-- ตลาดการเงินทั่วโลกต่างก็จับตาว่า ข้อตกลงว่าด้วยการที่สหราชอาณาจักรแยกตัวออกจากสหภาพยุโรป (Brexit) ของนายกรัฐมนตรีเทเรซา เมย์ จะผ่านความเห็นชอบจากรัฐสภาอังกฤษหรือไม่ หลังจากเมื่อวานนี้ ที่ประชุม 27 ชาติสมาชิกสหภาพยุโรป (EU) ได้อนุมัติปฏิญญาว่าด้วยความสัมพันธ์ในอนาคตระหว่างสหราชอาณาจักรและ EU หลังจากที่สหราชอาณาจักรแยกตัวจาก EU อย่างเป็นทางการในวันที่ 29 มี.ค.ปีหน้า
ทั้งนี้ ข้อตกลง Brexit ฉบับนี้จำเป็นต้องได้รับความเห็นชอบจากรัฐสภาอังกฤษ โดยคาดว่ารัฐสภาอังกฤษจะลงมติข้อตกลงดังกล่าวในช่วงต้นเดือนธ.ค.
ทางด้านนางเทเรซา เมย์ นายกรัฐมนตรีอังกฤษ ได้ออกมาเรียกร้องให้รัฐสภาอังกฤษอนุมัติข้อตกลงว่าด้วยการที่สหราชอาณาจักรแยกตัวออกจากสหภาพยุโรป (Brexit) โดยเตือนว่า หากรัฐสภาไม่อนุมัติข้อตกลงดังกล่าว ก็จะส่งผลให้เกิดการแบ่งฝักฝ่ายและสร้างความไม่แน่นอนให้กับประเทศ
-- กลุ่มผู้นำจากสหภาพยุโรป (EU) ได้ออกมาเตือนนักการเมืองอังกฤษว่า อังกฤษจะไม่ได้รับข้อตกลงที่ดีกว่านี้ หากรัฐสภาอังกฤษปฏิเสธข้อตกลงที่ทาง EU ได้อนุมัติไปเมื่อวานนี้ เพราะฝั่ง EU ไม่มี "แผนสอง"
นายฌอง-คล็อด ยุงเกอร์ ประธานคณะกรรมาธิการยุโรป (EC) กล่าวว่า "ผู้ที่คิดว่าการปฏิเสธข้อตกลงนี้จะทำให้มีข้อตกลงที่ดีกว่า คงต้องรู้สึกผิดหวังกลับไปเมื่อปฏิเสธไปได้ไม่กี่วินาที"
นายฌอง-คล็อด ยุงเกอร์ มองว่าการที่อังกฤษตัดสินใจถอนตัวออกจากสหภาพยุโรปนั้นเป็นช่วงเวลาอันน่าเศร้า ขณะเดียวกันเขาก็เสริมว่า ตนไม่คิดว่าอังกฤษจะกลายเป็นประเทศที่สาม (ประเทศที่ไม่ใช่สมาชิก EU) เหมือนกับประเทศที่สามประเทศอื่น ๆ
ด้านนายโดนัลด์ ทัสค์ ประธานคณะมนตรียุโรป กล่าวเสริมว่า "นี่เป็นข้อตกลงเดียวที่เป็นไปได้"
-- ตลาดหุ้นเอเชียส่วนใหญ่ขยับขึ้นเพียงเล็กน้อยในช่วงเช้านี้ ขณะที่นักลงทุนระมัดระวังการซื้อขาย พร้อมกับจับตาการเจรจาการค้าระหว่างสหรัฐกับจีน ซึ่งคาดว่าจะมีขึ้นในช่วงปลายสัปดาห์นี้
ทั้งนี้ ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ และประธานาธิบดีสี จิ้นผิง มีกำหนดพบกันนอกรอบการประชุม G20 ในวันที่ 30 พ.ย. ซึ่งทั่วโลกคาดหวังว่าผู้นำทั้งสองจะสามารถเจรจากันและแก้ไขความขัดแย้งทางการค้า
-- นักลงทุนจับตารายงานการประชุมของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ประจำวันที่ 7-8 พ.ย. ซึ่งจะมีการเผยแพร่ในวันพฤหัสบดีนี้ เพื่อนำมาเป็นปัจจัยบ่งชี้ถึงทิศทางอัตราดอกเบี้ยของเฟดในการประชุมเดือนธ.ค.
-- นอกเหนือจากรายงานการประชุมเฟดแล้ว นักลงทุนยังจับตาการกล่าวสุนทรพจน์ของเจ้าหน้าที่เฟดในสัปดาห์นี้เช่นกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้อยแถลงของนายเจอโรม พาวเวล ประธานเฟด และนายริชาร์ด แคลริดา รองประธานเฟด
ก่อนหน้านี้ นายแคลริดากล่าวว่า เฟดใกล้ถึงจุดที่จะกำหนดให้อัตราดอกเบี้ยอยู่ในระดับที่เป็นกลางแล้ว และการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยต่อไป ควรอิงจากข้อมูลเศรษฐกิจที่ได้รับ พร้อมกับกล่าวว่า ตลอดเวลาเกือบ 3 ปีที่เฟดปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย ได้ทำให้อัตราดอกเบี้ยระยะสั้นของเฟดใกล้ถึงระดับที่เป็นกลาง ซึ่งเป็นระดับที่ไม่ได้ช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจ และไม่ฉุดรั้งเศรษฐกิจ
ทั้งนี้ นายแคลริดาเป็นเจ้าหน้าที่เฟดรายที่ 2 ต่อจากนายราฟาเอล บอสติค ประธานเฟดสาขาแอตแลนตา ที่ระบุว่า เฟดใกล้ถึงระดับอัตราดอกเบี้ยที่เป็นกลางแล้ว
-- ตลาดการเงินยังคงติดตามสถานการณ์ของบริษัทนิสสัน มอเตอร์ หลังจากนายคาร์ลอส กอส์น ได้ถูกปลดออกจากตำแหน่งประธานบริษัท ฐานแจ้งรายได้ที่เป็นเท็จ ขณะที่รายงานล่าสุดระบุว่า นายกอส์น จงใจแจ้งรายได้เท็จเป็นเวลา 8 ปี โดยคาดว่ามีจุดประสงค์เพื่อปกปิดค่าตอบแทนรวมกันประมาณ 8 พันล้านเยน (70.8 ล้านดอลลาร์สหรัฐ) อย่างไรก็ตาม นายกอส์นได้ออกมาปฏิเสธข้อกล่าวหาดังกล่าว
-- จับตาข้อมูลเศรษฐกิจของประเทศต่างๆในวันนี้ โดยอังกฤษจะเปิดเผยดัชนีชี้นำเศรษฐกิจเดือนก.ย. ขณะที่เยอรมนีจะเปิดเผยความเชื่อมั่นทางธุรกิจเดือนพ.ย.จากสถาบัน Ifo ทางด้านสหรัฐจะเปิดเผย ดัชนีกิจกรรมเศรษฐกิจทั่วประเทศเดือนต.ค.จากเฟดชิคาโก และ ดัชนีการผลิตเดือนพ.ย.จากเฟดดัลลัส
ส่วนในวันพรุ่งนี้ จีนจะเปิดเผยกำไรภาคอุตสาหกรรมเดือนต.ค. ขณะที่ฝรั่งเศสจะเปิดเผยความเชื่อมั่นผู้บริโภคเดือนพ.ย. ทางด้านสหรัฐจะเปิดเผยราคาบ้านเดือนพ.ย.จากเอสแอนด์พี/เคส-ชิลเลอร์ และความเชื่อมั่นผู้บริโภคเดือนพ.ย.จาก Conference Board