World Today: สรุปประเด็นน่าติดตามประจำวันที่ 18 ธันวาคม 2561

ข่าวเศรษฐกิจ Tuesday December 18, 2018 10:03 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

ดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดร่วงลงกว่า 500 จุดเมื่อคืนนี้ (17 ธ.ค.) ขณะที่ดัชนี S&P500 ปิดที่ระดับต่ำสุดในรอบ 14 เดือน เนื่องจากนักลงทุนยังคงวิตกกังวลเกี่ยวกับการชะลอตัวของเศรษฐกิจโลก และมีท่าทีระมัดระวังการซื้อขายก่อนที่จะรู้ผลการประชุมของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ในวันพุธนี้ตามเวลาสหรัฐ

นอกจากนี้ ตลาดยังได้รับแรงกดดันจากหุ้นโกลด์แมน แซคส์ ที่ดิ่งลงแตะระดับต่ำสุดในรอบ 2 ปี หลังจากอัยการมาเลเซียสั่งฟ้องดำเนินคดีอาญาต่อโกลด์แมน แซคส์ในข้อหาคอร์รัปชั่นและฟอกเงินในกองทุน 1MDB รวมทั้งการร่วงลงของหุ้นกลุ่มธุรกิจสุขภาพ หลังจากศาลสหรัฐระบุว่า กฎหมายประกันสุขภาพของรัฐบาลบารัค โอบามา หรือ "โอบามาแคร์" ขัดต่อรัฐธรรมนูญ

-- ทางการมาเลเซียสั่งฟ้องดำเนินคดีอาญาต่อโกลด์แมน แซคส์และอดีตพนักงานของธนาคารสหรัฐแห่งนี้อีก 2 คน ในความผิดฐานเกี่ยวข้องพัวพันกับการทุจริตคอร์รัปชั่นและฟอกเงินในกองทุน 1MDB โดยในตอนนี้โกลด์แมน แซคส์ กำลังเผชิญการตรวจสอบจากบทบาทการช่วยระดมทุนผ่านการออกพันธบัตรสำหรับกองทุน 1MDB และกำลังถูกสอบสวนใน 6 ประเทศ

ด้านนายทอมมี โธมัส อัยการสูงสุดของมาเลเซียเปิดเผยว่า การดำเนินคดีดังกล่าวมีขึ้นจากการเก็บค่านายหน้าหรือการออกแถลงการณ์ที่สร้างความเข้าใจผิดเพื่อยักยอดเงิน 2.7 พันล้านดอลลาร์สหรัฐจากรายได้ในการออกพันธบัตร 3 ครั้งโดยบริษัทในเครือของกองทุน 1MDB ซึ่งผ่านดำเนินการและรับประกันจากโกลด์แมน แซคส์" พรอมระบุว่า อัยการของมาเลเซียจะดำเนินการตั้งค่าปรับให้มากกว่าเงินที่ถูกยักยอกมูลค่า 2.7 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ และค่าธรรมเนียม 600 ล้านดอลลาร์สหรัฐที่โกลด์แมน แซคส์ได้รับ รวมถึงยื่นคำร้องให้อัยการพิจารณาโทษจำคุกสูงสุหรับผู้กระทำผิดคนละ 10 ปีด้วย

อย่างไรก็ดี โฆษกของโกลด์แมน แซคส์แถลงผ่านอีเมลระบุว่า "การตั้งข้อหาดำเนินคดีในลักษณะนี้เป็นการกระทำที่ไม่ถูกต้อง" ธนาคารจะให้ความร่วมมืออย่างเต็มที่กับเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องทั้งหมดในกระบวนการสอบสวน พร้อมยืนยันว่า ธนาคารไม่ได้กระทำความผิดตามที่ถูกกล่าวหาแต่อย่างใด

-- นายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีของสหรัฐเปิดเผยผ่านทวิตเตอร์ระบุเป็นเรื่องน่าเหลือเชื่อที่ธนาคารกลางสหรัฐหรือเฟดจะพิจารณาปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยอีกครั้ง โดยกล่าวว่า "เป็นเรื่องเหลือเชื่อที่ว่าในขณะที่สกุลเงินดอลลาร์สหรัฐกำลังแข็งค่าขึ้นอย่างมาก และแทบจะไม่มีปัญหาเงินเฟ้อ ท่ามกลางโลกภายนอกที่กำลังวุ่นวายรอบตัวเรา ทั้งปารีสและจีน แต่เฟดกำลังพิจารณาจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยอีกครั้ง โดยหวังจะกำชัยชนะ!"

ถ้อยแถลงของผู้นำสหรัฐมีขึ้นก่อนหน้าที่เฟดจะจัดการประชุมขึ้นระหว่างวันที่ 18-19 ธันวาคม โดยนักวิเคราะห์คาดการณ์ว่า เฟดจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในการประชุมครั้งนี้ ซึ่งถือเป็นการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยครั้งที่ 4 ในรอบปี ที่ผ่านมา ประธานาธิบดีทรัมป์วิพากษ์วิจารณ์เฟดและนายเจอโรม พาวเวล ประธานเฟดมาแล้วด้วยกันหลายครั้ง ด้วยการโจมตีว่า "เฟดเป็นบ้าไปแล้ว" จากการดำเนินนโยบายทางการเงินและมองว่าอัตราดอกเบี้ยสูงจนเกินไป ทั้งนี้ ปธน.ทรัมป์กังวลว่าการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของเฟดจะส่งผลให้ดอลลาร์แข็งค่าขึ้น ซึ่งจะกระทบต่อการส่งออกของสหรัฐ และทำให้สหรัฐขาดดุลการค้ามากขึ้น ซึ่งเป็นสิ่งที่ปธน.ทรัมป์ให้ความสนใจ และเป็นสาเหตุที่ทำให้เขาเปิดฉากทำสงครามการค้ากับประเทศคู่ค้า

-- นายเจเรมี คอร์บิน ผู้นำพรรคแรงงานของอังกฤษ ยื่นคำร้องเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจนางเทเรซา เมย์ นายกรัฐมนตรีอังกฤษ หลังจากที่นางเมย์เปลี่ยนแปลงกำหนดการสำหรับการลงมติในสภาต่อร่างข้อตกลงการแยกตัวออกจากสหภาพยุโรปหรือ Brexit จนกว่าจะถึงสัปดาห์ที่ 14 มกราคม ปี 2562

ความเคลื่อนไหวดังกล่าวยังมีขึ้นหลังจากที่เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว นางเมย์ตัดสินใจเลื่อนการลงมติในรัฐสภาต่อร่างข้อตกลง Brexit อย่างไม่มีกำหนด จากเดิมที่มีกำหนดลงมติในวันที่ 11 ธ.ค. เนื่องจากวิตกว่าจะไม่ได้รับการอนุมัติจากสภา

ผู้นำพรรคแรงงานอังกฤษกล่าวว่า เป็นเรื่องที่ไม่อาจยอมรับได้สำหรับสมาชิกสภาที่จะต้องรอคอยนานเป็นเดือนที่จะลงมติในร่างข้อตกลงดังกล่าว พร้อมเสริมว่า นายกรัฐมนตรีเมย์กำลังนำพาประเทศเข้าสู่ "วิกฤตระดับชาติ" ขณะที่แหล่งข่าวจากบ้านเลขที่ 10 เปิดเผยกับสำนักข่าวบีบีซีว่า รัฐบาลจะไม่เปิดช่องให้กับการลงมติไม่ไว้วางใจ พร้อมเสริมว่า รัฐมนตรีจะไม่เต้นไปตามเกมการเมืองที่ไร้สาระ

-- บริษัทจอห์นสัน แอนด์ จอห์นสัน เริ่มเคลื่อนไหวเพื่อควบคุมผลกระทบที่เกิดขึ้นจากรายงานของสำนักข่าวรอยเตอร์สที่ระบุว่า กลุ่มบริษัทด้านผลิตภัณฑ์ดูแลสุขภาพรับรู้มาเป็นเวลานานหลายสิบปีว่า พบแร่ใยหินที่ก่อให้เกิดมะเร็งปนเปื้อนในสินค้าแป้งโรยตัวของบริษัท ซึ่งรวมถึงแป้งเด็กจอห์นสัน โดยเจแอนด์เจลงโฆษณาเต็มหน้าในหนังสือพิมพ์เพื่อปกป้องผลิตภัณฑ์และภาพลักษณ์การดำเนินงานของบริษัท ขณะเดียวกันผู้บริหารระดับสูงของบริษัทยังได้ให้สัมภาษณ์ทางโทรทัศน์เป็นครั้งแรก นับตั้งแต่นักลงทุนเทขายหุ้นอย่างต่อเนื่อง และส่งผลให้มูลค่าตลาดของบริษัทสูญหายไปหลายหมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ หลังจากรายงานดังกล่าวได้รับการเผยแพร่ออกมาก่อนหน้านี้

รายงานระบุว่า จากการพิจารณาเอกสารและคำให้การต่อศาล แสดงให้เห็นว่า ตั้งแต่ปี 1971 จนถึงต้นทศวรรษ 2000 ผู้บริหาร และฝ่ายกฎหมายของบริษัทต่างทราบดีว่า สารทัลคัมและผลิตภัณฑ์แป้งของบริษัทมีการปนเปื้อนแร่ใยหิน แต่ไม่มีการเปิดเผยข้อมูลดังกล่าวต่อเจ้าหน้าที่ผู้ควบคุมกฎระเบียบหรือต่อสาธารณชน อย่างไรก็ดี ผู้บริหารของบริษัทปฏิเสธรายงานดังกล่าวว่าเป็นการบิดเบือนข้อเท็จจริงและสร้างความเข้าใจผิด โดยระบุว่า ผลการทดสอบจำนวนมากพบว่า สารทัลคัมในผลิตภัณฑ์แป้งโรยตัวของบริษัทไม่ได้มีส่วนผสมของแร่ใยหินหรือทำให้เกิดมะเร็ง

-- รัฐบาลญี่ปุ่นประกาศลดคาดการณ์การขยายตัวของผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) ในปีงบประมาณ 2562 ลงสู่ระดับ 1.3% จากที่เคยคาดการณ์ไว้เมื่อเดือนก.ค.ว่า GDP จะขยายตัว 1.5% โดยระบุว่า การใช้จ่ายด้านทุนขยายตัวน้อยกว่าคาด ท่ามกลางภาวะเศรษฐกิจโลกที่ชะลอตัวลง

-- สมาคมผู้สร้างบ้านแห่งชาติ (NAHB) ของสหรัฐเปิดเผยว่า ดัชนีความเชื่อมั่นผู้สร้างบ้านร่วงลง 4 จุด สู่ระดับ 56 ในเดือนธ.ค. เมื่อเทียบรายเดือน ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดนับตั้งแต่เดือนพ.ค.2558

เมื่อเทียบรายปี ดัชนีความเชื่อมั่นผู้สร้างบ้านร่วงลง 18 จุดในเดือนธ.ค. ดัชนีความเชื่อมั่นผู้สร้างบ้านได้รับผลกระทบจากการชะลอตัวของอุปสงค์ รวมทั้งการดีดตัวขึ้นของราคาบ้าน แม้ว่าอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ได้ชะลอตัวลง

อย่างไรก็ดี ดัชนีความเชื่อมั่นยังคงอยู่สูงกว่าระดับ 50 ซึ่งบ่งชี้ถึงมุมมองโดยทั่วไปที่เป็นบวก

ส่วนดัชนีคาดการณ์ยอดขายในช่วง 6 เดือนข้างหน้า ลดลง 4 จุด สู่ระดับ 61 จุด ขณะที่ดัชนีภาวะยอดขายในปัจจุบันลดลง 6 จุด สู่ระดับ 61 จุด

-- นักลงทุนจับตาการประชุมนโยบายการเงินของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ซึ่งจะเริ่มขึ้นในวันอังคารที่ 18 ธ.ค. และจะเสร็จสิ้นในวันพุธที่ 19 ธ.ค.ตามเวลาสหรัฐ ขณะที่นักวิเคราะห์ส่วนใหญ่คาดการณ์ว่า เฟดจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในการประชุมครั้งนี้ ซึ่งจะเป็นการปรับขึ้นดอกเบี้ยครั้งที่ 4 สำหรับปีนี้

นอกจากนี้ นักลงทุนยังจับตาการส่งสัญญาณของเฟดเกี่ยวกับทิศทางอัตราดอกเบี้ยในปีหน้า ท่ามกลางกระแสคาดการณ์ที่ว่า เฟดอาจชะลอการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในปีหน้า หลังจากสหรัฐเปิดเผยตัวเลขเงินเฟ้อทรงตัวในเดือนพ.ย. และการจ้างงานนอกภาคเกษตรที่ขยายตัวน้อยกว่าคาดในเดือนพ.ย.

CME Group ระบุว่า จากการใช้เครื่องมือ FedWatch วิเคราะห์ภาวะการซื้อขายสัญญาล่วงหน้าอัตราดอกเบี้ยสหรัฐ พบว่า นักลงทุนคาดการณ์ว่า เฟดอาจปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเพียงครั้งเดียวในปีหน้า ซึ่งลดลงจากที่เคยคาดการณ์เมื่อเดือนที่แล้วว่า เฟดจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย 2 ครั้งในปีหน้า

-- ธนาคารกลางออสเตรเลีย (RBA) เปิดเผยรายงานการประชุมประจำเดือนธ.ค.ในวันนี้ โดยระบุว่า ทางธนาคารกลางยังไม่พบปัจจัยชัดเจนที่เอื้อต่อการเปลี่ยนแปลงนโยบายในอนาคตอันใกล้ นอกจากนี้ หากต้องมีการปรับอัตราดอกเบี้ยแล้ว น่าจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยมากกว่าที่จะปรับลดลง

อย่างไรก็ดี ขณะนี้ยังมีปัจจัยเสี่ยงอยู่บ้าง ไม่ว่าจะเป็นรายได้ภาคครัวเรือนที่ซบเซา ปัญหาหนี้สิน และราคาบ้านตกต่ำ

ในการประชุมนโยบายการเงินซึ่งมีขึ้นเมื่อวันที่ 4 ธ.ค.ที่ผ่านมานั้น คณะกรรมการ RBA ได้คาดการณ์ผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) ไตรมาส 3/2561 ของออสเตรเลีย ไว้ว่าจะขยายตัวเกิน 3% เทียบรายปี แต่หนึ่งวันหลังจากนั้น สำนักงานสถิติแห่งออสเตรเลีย (ABS) รายงานว่า GDP ไตรมาสสามปรับตัวเพิ่มขึ้นเพียง 2.8%

-- จับตาข้อมูลเศรษฐกิจของประเทศต่างๆซึ่งมีกำหนดเปิดเผยในวันนี้ โดยเยอรมนีจะเปิดเผย ความเชื่อมั่นภาคธุรกิจเดือนธ.ค.จากสถาบัน Ifo ขณะที่สหรัฐจะเปิดเผยตัวเลขการเริ่มสร้างบ้านและการอนุญาตก่อสร้างเดือนพ.ย.

ส่วนในวันพรุ่งนี้ญี่ปุ่นจะเปิดเผยยอดนำเข้า ยอดส่งออก และดุลการค้าเดือนพ.ย. เยอรมนีจะเปิดเผยดัชนีราคาผู้ผลิต (PPI) เดือนพ.ย. ส่วนอังกฤษจะเปิดเผยอัตราเงินเฟ้อเดือนพ.ย. ขณะที่สหรัฐจะเปิดเผยดุลบัญชีเดินสะพัดไตรมาส 3/2561 ยอดขายบ้านมือสองเดือนพ.ย. และสต็อกน้ำมันรายสัปดาห์จากสำนักงานสารสนเทศด้านพลังงานสหรัฐ (EIA)


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ