World Today: สรุปประเด็นน่าติดตามประจำวันที่ 26 ธันวาคม 2561

ข่าวเศรษฐกิจ Wednesday December 26, 2018 09:09 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

ตลาดหุ้น ตลาดสินค้าโภคภัณฑ์ และตลาดปริวรรตเงินตราของสหรัฐ ปิดทำการซื้อขายในวันอังคารที่ 25 ธ.ค. เนื่องในวันคริสต์มาส ขณะที่ตลาดหุ้นต่างๆในยุโรปปิดทำการเนื่องในวันคริสต์มาสเช่นกัน

-- ดัชนีนิกเกอิตลาดหุ้นโตเกียวฟื้นตัวขึ้นเช้านี้ หลังจากที่ดิ่งลงกว่า 5% หลุดแนว 20,000 จุดเป็นครั้งแรกในรอบ 15 เดือนเมื่อวานนี้ โดยได้รับแรงกดดันจากตลาดหุ้นนิวยอร์กที่ร่วงหนักอย่างต่อเนื่องมาตั้งแต่ช่วงปลายสัปดาห์ที่แล้ว ท่ามกลางความวิตกกังวลเกี่ยวกับการชะลอตัวของเศรษฐกิจสหรัฐ ซึ่งมีขนาดใหญ่ที่สุดในโลก

-- ธนาคารกลางญี่ปุ่น (BOJ) ได้เปิดเผยรายงานการประชุมนโยบายการเงินประจำวันที่ 30-31 ต.ค. ซึ่งเผยให้เห็นความคิดเห็นที่ไม่ตรงกันของคณะกรรมการกำหนดนโยบายในเรื่องอัตราผลตอบแทนพันธบัตร

รายงานดังกล่าวระบุว่า กรรมการรายหนึ่งได้เสนอให้ BOJ ปรับกรอบการเคลื่อนไหวของอัตราผลตอบแทนพันธบัตรให้กว้างขึ้น เพื่อให้อัตราผลตอบแทนพันธบัตรเคลื่อนไหวได้ยืดหยุ่นขึ้น นอกจากนี้ กรรมการรายเดียวกันนี้ยังได้เสนอให้มีการเปลี่ยนเป้าหมายผลตอบแทนพันธบัตร ให้เป็นผลตอบแทนพันธบัตรที่มีอายุน้อยลงด้วย จากปัจจุบันที่กำหนดไว้ที่ผลตอบแทนพันธบัตรอายุ 10 ปี

อย่างไรก็ดี กรรมการอีกรายหนึ่งได้โต้แย้งว่า การปล่อยให้อัตราผลตอบแทนพันธบัตรเคลื่อนไหวได้ยืดหยุ่นนั้น อาจกระทบต่อเงินเฟ้อซึ่งปัจจุบันยังคงอยู่ในระดับต่ำ และอาจส่งผลให้เงินเฟ้อไม่โตตามเป้าหมายของแบงก์ชาติ

สำหรับการประชุม BOJ เมื่อวันที่ 30-31 ต.ค. ที่ผ่านมานั้น ธนาคารกลางญี่ปุ่น มีมติคงอัตราดอกเบี้ยและวงเงินซื้อสินทรัพย์ ท่ามกลางสถานการณ์เงินเฟ้อที่อยู่ในระดับต่ำ และความเสี่ยงที่จะส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจโลก ซึ่งรวมถึงความตึงเครียดด้านการค้าที่สูงขึ้น

-- ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ของสหรัฐ กล่าวว่า ภาวะชัตดาวน์ หรือการปิดหน่วยงานรัฐบาลบางส่วนนั้น จะดำเนินต่อเนื่องไปจนกว่ารัฐสภาจะยอมอนุมัติคำของบประมาณสนับสนุนการสร้างกำแพงกั้นชายแดนสหรัฐ-เม็กซิโก

ผู้นำสหรัฐกล่าวถึงเรื่องดังกล่าวภายหลังการประชุมทางไกลกับเหล่าทหารสหรัฐที่ประจำการอยู่ต่างประเทศ ในช่วงเช้าวันอังคารตามเวลาท้องถิ่นของสหรัฐ เนื่องในโอกาสวันคริสต์มาส

นอกจากประเด็นชัตดาวน์แล้ว ปธน.ทรัมป์ยังได้กล่าวย้ำด้วยว่า ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเร็วเกินไป

-- กลุ่มรัฐอิสลาม (IS) ได้ออกมาอ้างความรับผิดชอบว่าเป็นผู้ก่อเหตุโจมตีสำนักงานใหญ่กระทรวงการต่างประเทศของลิเบีย จนส่งผลให้มีผู้เสียชีวิตอย่างน้อย 3 คน และบาดเจ็บอีก 10 คน

กลุ่ม IS ออกแถลงการณ์ผ่านสำนักข่าว Amaq ซึ่งเป็นของ IS ว่า สมาชิก 3 คนของกลุ่ม IS เป็นผู้ก่อเหตุโจมตีสำนักงานใหญ่กระทรวงการต่างประเทศของลิเบียซึ่งตั้งอยู่ในกรุงตริโปลี โดยเหตุการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้นเมื่อช่วงเช้าวานนี้ตามเวลาท้องถิ่น

ความเคลื่อนไหวของกลุ่ม IS มีขึ้นหลังจากเกิดคาร์บอมบ์ด้านหลังอาคารของกระทรวงต่างประเทศลิเบียเมื่อเวลาประมาณ 9.00 น.ตามเวลาท้องถิ่นเมื่อวานนี้ (14.00 น.ตามเวลาไทย) จากนั้นมือปืนกลุ่มหนึ่งได้บุกเข้าสู่ตัวอาคารทั้งทางประตูหน้าและประตูหลัง และยิงต่อสู้กับกองกำลังรักษาความปลอดภัย

-- นายอเล็กซานเดอร์ โนวัค รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงานของรัสเซีย คาดการณ์ว่า ราคาน้ำมันจะมีเสถียรภาพมากขึ้นในช่วงครึ่งปีแรกของปีหน้า เพราะกลุ่มประเทศผู้ส่งออกน้ำมัน (โอเปก) และประเทศพันธมิตรนอกกลุ่มโอเปก ให้ความร่วมมือดี

ถ้อยแถลงดังกล่าวมีขึ้น ในช่วงเวลาที่ราคาน้ำมันได้ปรับตัวลดลงอย่างต่อเนื่อง โดยรัฐมนตรีพลังงานรัสเซียให้เหตุผลว่า การร่วงลงดังกล่าวเป็นผลจากปัจจัยทางเศรษฐกิจมหภาค โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อกิจกรรมทางเศรษฐกิจซบเซาลงเล็กน้อยในช่วงปลายปี ด้วยเหตุนี้ นักลงทุนจึงไม่ควรกังวลเรื่องราคาน้ำมันมากเกินไป

-- นายฮัสซัน รูฮานี ประธานาธิบดีอิหร่าน เปิดเผยว่า มาตรการคว่ำบาตร "อันกดขี่" ที่สหรัฐได้ใช้กับอิหร่านนั้นจะไม่มีวันบังเกิดผลตามที่สหรัฐต้องการ

ประธานาธิบดีอิหร่าน แถลงต่อรัฐสภาอิหร่านว่า "สหรัฐหวังที่จะกดดันให้สาธารณรัฐอิสลามที่ทรงอิทธิพลอย่างอิหร่านยอมคุกเข่า" เพราะอิหร่านเป็นอุปสรรคกีดกันนโยบายของสหรัฐในการเข้ามาครอบงำภูมิภาคนี้

นายรูฮานี กล่าวว่า "ไม่ต้องสงสัยเลยว่า สหรัฐจะไม่มีวันสมใจหวัง และมหาอำนาจอย่างอิหร่านก็จะต้านทานแผนการนี้อย่างรอบคอบ"

-- หัวเว่ย บริษัทเทคโนโลยีชั้นนำของจีน ประกาศว่า บริษัทสามารถส่งมอบสมาร์ทโฟนได้มากกว่า 200 ล้านเครื่องในปีนี้ ซึ่งสูงสุดเป็นประวัติการณ์

IDC ซึ่งเป็นบริษัทวิจัยตลาด รายงานว่า ในปี 2553 หัวเว่ยส่งมอบสมาร์ทโฟนเพียง 3 ล้านเครื่อง

นอกจากนี้ หัวเว่ยยังโค่นแอปเปิลในไตรมาส 2 และ 3 ของปีนี้ และก้าวขึ้นเป็นผู้ขายสมาร์ทโฟนรายใหญ่อันดับ 2 ของโลก

-- สหรัฐเตรียมเปิดเผยข้อมูลเศรษฐกิจสำคัญในวันนี้ ได้แก่ ดัชนีราคาบ้านเดือนต.ค.จากเอสแอนด์พี/เคส-ชิลเลอร์ และดัชนีการผลิตเดือนธ.ค.จากเฟดสาขาริชมอนด์

ส่วนในวันพรุ่งนี้ เกาหลีใต้เตรียมเปิดเผยความเชื่อมั่นผู้บริโภคเดือนธ.ค. จีนจะเปิดเผยกำไรภาคอุตสาหกรรมเดือนพ.ย. ญี่ปุ่นเตรียมเปิดเผยตัวเลขการเริ่มสร้างบ้านเดือนพ.ย ขณะที่สหรัฐจะเปิดเผยจำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานรายสัปดาห์, ดัชนีราคาบ้านเดือนต.ค., ความเชื่อมั่นผู้บริโภคเดือนธ.ค.จาก Conference Board และยอดขายบ้านใหม่เดือนพ.ย.


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ