สหรัฐและจีนปิดฉากการเจรจาการค้าแล้วเมื่อวานนี้ หลังจากที่ได้หารือติดต่อกันเป็นเวลาถึง 3 วันที่กรุงปักกิ่งของจีน จากเดิมที่มีกำหนดเพียงแค่ 2 วัน โดยสำนักงานผู้แทนการค้าสหรัฐ (USTR) เปิดเผยว่า จีนได้ให้คำมั่นสัญญาที่จะซื้อสินค้าจำนวนมากจากสหรัฐ ทั้งในด้านการเกษตร พลังงาน รวมทั้งสินค้าในภาคการผลิตและบริการ ซึ่งทาง USTR จะหามาตรการเพื่อทำให้มั่นใจว่า จีนจะดำเนินการตามที่ให้สัญญาไว้จริง
USTR ออกแถลงการณ์ระบุว่า ในการเจรจาการค้ากับจีนที่เพิ่งสิ้นสุดลง สหรัฐสามารถสร้างความสัมพันธ์ทางการค้าที่เป็นธรรม และได้รับประโยชน์ทั้ง 2 ฝ่ายกับจีน
สำหรับในฝั่งของจีนนั้น กระทรวงพาณิชย์จีนได้ระบุในแถลงการณ์ผ่านทางเว็บไซต์ในวันนี้ว่า สหรัฐและจีนได้ดำเนินการตามฉันทามติที่ผู้นำประเทศทั้งสองฝั่งได้ให้ไว้ในการเจรจาครั้งก่อนหน้า ส่วนในการเจรจาที่เพิ่งสิ้นสุดไปนี้ สหรัฐและจีนได้มีการหารืออย่างเข้มข้นในประเด็นการค้าและโครงสร้าง
แถลงการณ์ระบุว่า ความก้าวหน้านี้ได้เข้ามาวางรากฐานสู่การแก้ไขปัญหาเพื่อประโยชน์ต่อทั้งสองฝ่าย โดยสหรัฐและจีนได้ตกลงที่จะติดต่อประสานงานอย่างใกล้ชิดต่อไป
-- ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) เปิดเผยรายงานการประชุมประจำวันที่ 18-19 ธ.ค. 2561 โดยระบุว่า กรรมการเฟดส่วนใหญ่สามารถอดทนต่อการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย เมื่อพิจารณาจากภาวะเศรษฐกิจในปัจจุบัน โดยกรรมการเฟดหลายคนมีความกังวลเกี่ยวกับภาวะผันผวนที่เกิดขึ้นในตลาดการเงิน และรายงานที่บ่งชี้ถึงการชะลอตัวของเศรษฐกิจโลก
"กรรมการเฟดส่วนใหญ่มีความเห็นว่า กรรมการสามารถอดทนต่อการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย เมื่อพิจารณาถึงภาวะเศรษฐกิจในปัจจุบัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งแรงกดดันด้านเงินเฟ้อที่ยังคงอยู่ในระดับค่อนข้างต่ำ" รายงานการประชุมระบุ
รายงานการประชุมเฟดยังระบุด้วยว่า "กรรมการหลายคนกล่าวว่า ก่อนที่เฟดจะปรับเปลี่ยนอัตราดอกเบี้ยอีกครั้งนั้น เฟดจำเป็นจะต้องพิจารณาถึงความเสี่ยงต่างๆที่เกิดขึ้นในช่วงหลายเดือนที่ผ่านมา"
-- เอกอัครราชทูตจีนประจำแคนาดาได้ออกมาโจมตีรัฐบาลแคนาดาว่า "ใช้อีโก้ของชาวตะวันตก" และ "ใช้แนวคิดคนผิวขาวเป็นใหญ่" หลังเกิดกรณีที่รัฐบาลแคนาดาจับกุมตัวผู้บริหารบริษัทหัวเว่ย เทคโนโลยี เมื่อเดือนที่ผ่านมา
เอกอัครราชทูตจีนกล่าวว่า แคนาดาดำเนินการทุกอย่างแบบสองมาตรฐาน เพราะแคนาดาเองได้เรียกร้องให้จีนปล่อยตัวชาวแคนาดาสองคน ซึ่งถูกทางการจีนควบคุมตัวเป็นเวลา 9 วันหลังจากที่นางเมิ่ง ว่านโจว ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายการเงิน (ซีเอฟโอ) ของบริษัทหัวเว่ย ตามคำขอของรัฐบาลสหรัฐ
-- สำนักงานสถิติแห่งชาติจีน (NBS) รายงานในวันนี้ว่า ดัชนีราคาผู้ผลิต (PPI) ซึ่งเป็นมาตรวัดต้นทุนสินค้าที่หน้าประตูโรงงาน ขยายตัว 0.9% ในเดือนธ.ค. เมื่อเทียบเป็นรายปี ซึ่งชะลอตัวลงจากเดือนพ.ย.ที่มีการขยายตัว 2.2%
นอกจากนี้ สำนักงานสถิติแห่งชาติจีนรายงานว่า ดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) ซึ่งเป็นมาตรวัดเงินเฟ้อที่สำคัญ ขยายตัว 1.9% ในเดือนธ.ค. เมื่อเทียบเป็นรายปี ซึ่งชะลอตัวลงอย่างมากเมื่อเทียบกับเดือนพ.ย.ที่มีการขยายตัวอย่างแข็งแกร่งถึง 2.7%
-- สำนักงานสถิติแห่งสหภาพยุโรป (ยูโรสแตท) เปิดเผยว่า อัตราการว่างงานในยูโรโซนอยู่ที่ระดับ 7.9% ในเดือนพ.ย. ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดในรอบ 10 ปี จากระดับ 8.0% ในเดือนต.ค. หลังจากพุ่งแตะระดับ 12.1% ในปี 2556
อัตราการว่างงานของเยอรมนีอยู่ที่ระดับ 3.3% ขณะที่กรีซอยู่ที่ระดับ 18.6%
นอกจากนี้ ยูโรสแตทเปิดเผยว่า จำนวนผู้ว่างงานลดลง 90,000 รายในเดือนพ.ย. สู่ระดับ 13.04 ล้านราย
-- นางเทเรซา เมย์ นายกรัฐมนตรีอังกฤษ ประสบความพ่ายแพ้เป็นครั้งแรกต่อแผนการแยกตัวของอังกฤษออกจากสหภาพยุโรป (Brexit) โดยสมาชิกรัฐสภายืนกรานให้รัฐบาลเสนอแผนทางเลือกภายในเวลาเพียงไม่กี่วัน หากสภาคว่ำร่างข้อตกลง Brexit ของนางเมย์ในสัปดาห์หน้า
ทั้งนี้ สมาชิกในสภาสามัญชนลงมติด้วยคะแนนเสียง 308-297 เรียกร้องให้รัฐบาลเสนอแผนรองรับภายในเวลา 3 วันทำการ หากร่างข้อตกลง Brexit ของนางเมย์ไม่ได้รับการอนุมัติจากรัฐสภาในการลงมติในวันอังคารหน้า แทนที่จะเป็นเวลา 21 วันตามที่นางเมย์เสนอก่อนหน้านี้
-- ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์เตรียมเดินทางเยือนชายแดนทางใต้ของสหรัฐที่ติดกับเม็กซิโกในวันนี้ หลังจากที่เขากล่าวแถลงการณ์ต่อชาวสหรัฐทั่วประเทศในวันนี้เพื่อชี้แจงเหตุผลที่ชาวอเมริกันควรสนับสนุนการสร้างกำแพงกั้นชายแดนเม็กซิโก
"ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ผมได้พบปะพูดคุยกับประชาชนมากมายที่คนในครอบครัวของเขาได้รับความเดือดร้อนจากการลักลอบเข้าเมืองอย่างผิดกฎหมาย" ปธน.ทรัมป์กล่าว "ชาวอเมริกันจะต้องหลั่งเลือดอีกมากเท่าใด ก่อนที่สภาคองเกรสจะทำหน้าที่ของตนเอง"
นอกจากนี้ ปธน.ทรัมป์กล่าวว่า การสร้างกำแพงกั้นชายแดนจะก่อให้เกิดประโยชน์อย่างรวดเร็ว พร้อมระบุว่า พรรคเดโมแครตในสภาคองเกรสปฏิเสธที่จะรับรู้ถึงวิกฤตการณ์ที่กำลังเกิดขึ้นกับประเทศชาติในขณะนี้
-- บริษัทฟิทช์ เรทติ้งส์ ซึ่งเป็นบริษัทจัดอันดับความน่าเชื่อถือระหว่างประเทศ เตือนว่า สหรัฐอาจถูกปรับลดอันดับความน่าเชื่อถือจากระดับ Aaa ในปีนี้ โดยปัญหาการปิดหน่วยงานของรัฐบาล (ชัตดาวน์) อาจส่งผลกระทบต่อเพดานหนี้ของประเทศ
"หากภาวะชัตดาวน์ยังคงดำเนินไปจนถึงวันที่ 1 มี.ค. และส่งผลให้เพดานหนี้กลายเป็นปัญหาในอีกหลายเดือนต่อมา เราอาจจำเป็นต้องเริ่มคิดกันถึงกรอบนโยบาย และการที่รัฐบาลอาจไม่สามารถผลักดันงบประมาณผ่านรัฐสภา และดูว่าสิ่งเหล่านี้จะสอดคล้องกับอันดับเครดิตที่ Aaa หรือไม่" นายเจมส์ แมคคอร์แมค หัวหน้าฝ่ายจัดอันดับความน่าเชื่อถือของฟิทช์ กล่าว
-- จับตาข้อมูลเศรษฐกิจในวันนี้ โดยญี่ปุ่นจะเปิดเผยทุนสำรองเงินตราต่างประเทศเดือนธ.ค. ขณะที่สหรัฐเตรียมเปิดเผยจำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานรายสัปดาห์
ส่วนในวันพรุ่งนี้ ญี่ปุ่นเตรียมเปิดเผยการใช้จ่ายภาคครัวเรือนเดือนพ.ย.และดุลบัญชีเดินสะพัดเดือนพ.ย. ขณะที่ออสเตรเลียจะเปิดเผยยอดค้าปลีกเดือนพ.ย. อังกฤษจะเปิดเผยดุลการค้าและการผลิตภาคอุตสาหกรรมเดือนพ.ย. และทางการสหรัฐจะเปิดเผยอัตราเงินเฟ้อเดือนธ.ค.