World Today: สรุปประเด็นน่าติดตามประจำวันที่ 16 มกราคม 2562

ข่าวเศรษฐกิจ Wednesday January 16, 2019 09:20 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

รัฐสภาอังกฤษได้ลงมติด้วยคะแนนเสียง 432 ต่อ 202 เสียง ปฏิเสธร่างข้อตกลงการแยกตัวของอังกฤษออกจากสหภาพยุโรป (Brexit) หลังจากสมาชิกรัฐสภาได้อภิปรายประเด็นดังกล่าวเป็นเวลา 5 วัน โดยนางเทเรซา เมย์ นายกรัฐมนตรีอังกฤษ มีเวลา 3 วันในการนำเสนอแผน Brexit ฉบับใหม่ต่อรัฐสภา

ทางด้านนายเจเรมี คอร์บิน ผู้นำพรรคแรงงาน ซึ่งเป็นพรรคฝ่ายค้านของอังกฤษ ได้ยื่นญัตติไม่ไว้วางใจนายกฯเมย์ หลังจากที่ร่างข้อตกลง Brexit ไม่ผ่านความเห็นชอบจากรัฐสภา โดยการอภิปรายไม่ไว้วางใจจะมีขึ้นในสภาสามัญชน ในวันนี้เวลา 1900 GMT หรือประมาณ 02.00 น.ของวันพฤหัสบดีตามเวลาไทย

หากผลการอภิปรายครั้งนี้ปรากฎว่ารัฐบาลภายใต้การนำของนายกฯเมย์ไม่ได้รับความไว้วางใจ ก็อาจส่งผลให้ต้องมีการจัดการเลือกตั้งครั้งใหม่ในอังกฤษ

-- นางเทเรซา เมย์ นายกรัฐมนตรีอังกฤษ ได้แถลงภายหลังจากรัฐสภาอังกฤษได้ลงมติด้วยคะแนนเสียง 432 ต่อ 202 เสียง ปฏิเสธร่างข้อตกลง Brexit โดยนางเมย์กล่าวว่า "เป็นที่แน่ชัดแล้วว่ารัฐสภาไม่ได้สนับสนุนร่างข้อตกลงฉบับนี้ แต่การลงมติของรัฐสภาในวันนี้แสดงให้เห็นว่า สมาชิกรัฐสภาไม่ได้เคารพการตัดสินใจของประชาชนที่ได้ลงประชามติเพื่อแยกตัวออกจากสหภาพยุโรป"

นายกฯเมย์ได้ให้คำมั่นว่า รัฐบาลอังกฤษจะหารือกับพรรค DUP จากไอร์แลนด์เหนือ ซึ่งเป็นพรรคร่วมรัฐบาล และนักการเมืองอาวุโสในรัฐสภา เพื่อพยายามบรรลุข้อตกลงในเรื่องนี้ให้ได้

ทางด้านโฆษกรัฐบาลอังกฤษเปิดเผยกับผู้สื่อข่าวว่า นายกฯเมย์เชื่อว่าร่างข้อตกลง Brexit ฉบับนี้ยังไม่ถึงทางตัน พร้อมระบุว่า รัฐบาลอังกฤษจะมีการหารือข้ามพรรค โดยคาดว่าการประชุมหารือดังกล่าวจะมีขึ้นอย่างเร็วที่สุดในวันพรุ่งนี้

-- ดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดที่ 24,065.59 จุด เพิ่มขึ้น 155.75 จุด หรือ +0.65% เมื่อคืนนี้ โดยดาวโจนส์ปิดในแดนบวกเป็นวันแรกในรอบ 3 วันทำการ ขานรับรายงานข่าวที่ว่า จีนเตรียมออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ ซึ่งรวมถึงการปรับลดภาษีครั้งใหญ่ ขณะที่ดัชนี Nasdaq ทะยานขึ้นเหนือแนวต้านที่ระดับ 7,000 จุดเป็นครั้งแรกในรอบ 1 เดือน หลังจากราคาหุ้นเน็ตฟลิกซ์พุ่งขึ้นกว่า 6% ซึ่งช่วยหนุนหุ้นตัวอื่นๆในกลุ่มเทคโนโลยีดีดตัวขึ้นด้วย

-- สำนักงานสถิติแห่งชาติจีน (NBS) รายงานในวันนี้ว่า ราคาบ้านในเมืองใหญ่ของจีนยังคงมีเสถียรภาพในเดือนธ.ค. หลังจากรัฐบาลท้องถิ่นของจีนเดินหน้าใช้มาตรการที่เข้มงวดเพื่อควบคุมตลาดอสังหาริมทรัพย์

ทั้งนี้ ราคาบ้านใหม่ใน 4 เมืองหลักของจีน ซึ่งได้แก่ ปักกิ่ง เซี่ยงไฮ้ เซินเจิ้น และกว่างโจว ปรับตัวขึ้น 1.3% ในเดือนธ.ค. เมื่อเทียบเป็นรายเดือน ซึ่งเพิ่มขึ้น 1% จากเดือนพ.ย.

ส่วนราคาบ้านมือสองใน 4 เมืองหลักเหล่านี้ ยังคงปรับตัวลงในเดือนธ.ค. โดยลดลงเฉลี่ย 0.3%

-- เจ้าหน้าที่ทำเนียบขาวรายหนึ่งกล่าวว่า ขณะนี้รัฐบาลของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์คาดการณ์ว่าความเสียหายที่เกิดจากการปิดหน่วยงานรัฐบาล (ชัตดาวน์) จะมีมูลค่าสูงเป็น 2 เท่าจากที่คาดการณ์ในเบื้องต้น

ทั้งนี้ ในช่วงแรก รัฐบาลคาดการณ์ว่า ภาวะชัตดาวน์จะทำให้ตัวเลขผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) ลดลง 0.1% ในทุกๆ 2 สัปดาห์ แต่ขณะนี้ รัฐบาลคาดว่า ภาวะชัตดาวน์จะทำให้ตัวเลข GDP ลดลง 0.1% ในทุกๆ 1 สัปดาห์ เนื่องจากในช่วงแรก รัฐบาลพิจารณาผลกระทบที่เกิดกับเจ้าหน้าที่ของรัฐจำนวน 800,000 รายที่จะไม่ได้รับเงินเดือน อันเนื่องจากภาวะชัตดาวน์ แต่ขณะนี้ รัฐบาลเชื่อว่าผลกระทบดังกล่าวจะทวีคูณ จากความเสียหายที่เกิดจากพนักงานเอกชนที่รัฐบาลจ้างงานตามสัญญาที่ต้องยุติการทำงาน รวมทั้งผลกระทบต่อการใช้จ่ายของรัฐบาล และการดำเนินงานต่างๆที่ไม่สามารถเกิดขึ้นในช่วงชัตดาวน์

-- ทำเนียบขาวแถลงว่า นายสตีเวน มนูชิน รมว.คลังสหรัฐ จะเป็นผู้นำคณะเจ้าหน้าที่สหรัฐรวมถึง นายไมค์ ปอมเปโอ รมว.ต่างประเทศสหรัฐ, นายวิลเบอร์ รอสส์ รมว.พาณิชย์สหรัฐ, นายโรเบิร์ต ไลท์ไฮเซอร์ ผู้แทนการค้าสหรัฐ (USTR) และนายคริส ลิดเดลล์ รองหัวหน้าเจ้าหน้าที่ฝ่ายประสานนโยบายของทำเนียบขาว เข้าร่วมการประชุมประจำปีของเวิลด์ อิโคโนมิค ฟอรั่ม (WEF) ในวันที่ 22-25 ม.ค.นี้ ณ เมืองดาวอส สวิตเซอร์แลนด์

ทางด้านประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ได้ปฏิเสธที่จะเข้าร่วมการประชุม WEF ในครั้งนี้ โดยให้เหตุผลถึงการปิดหน่วยงานรัฐบาลสหรัฐ (ชัตดาวน์) ที่ยาวนานที่สุดเป็นประวัติการณ์ หลังจากเขาและแกนนำพรรคเดโมแครตในสภาคองเกรสยังคงไม่สามารถตกลงกันได้ในประเด็นการจัดสรรงบประมาณสร้างกำแพงกั้นชายแดนเม็กซิโกวงเงินกว่า 5 พันล้านดอลลาร์

-- กระทรวงแรงงานสหรัฐเปิดเผยว่า ดัชนีราคาผู้ผลิต (PPI) ลดลง 0.2% ในเดือนธ.ค.เมื่อเทียบรายเดือน หลังจากเพิ่มขึ้น 0.1% ในเดือนพ.ย.

การปรับตัวลงของดัชนี PPI ได้รับผลกระทบจากการดิ่งลงของราคาพลังงาน

เมื่อเทียบรายปี ดัชนี PPI เพิ่มขึ้น 2.5% ในเดือนธ.ค. หลังจากดีดตัวขึ้น 2.5% เช่นกันในเดือนพ.ย.

นักวิเคราะห์คาดการณ์ก่อนหน้านี้ว่า ดัชนี PPI จะลดลง 0.1% ในเดือนธ.ค. เมื่อเทียบรายเดือน และปรับตัวขึ้น 2.5% เมื่อเทียบรายปี

-- นายเจมี ไดมอน ประธานเจ้าหน้าที่บริหารของเจพีมอร์แกน เชส กล่าวว่า เศรษฐกิจสหรัฐอาจขยายตัว 0% ในไตรมาสแรกของปีนี้ หากการปิดหน่วยงานรัฐบาลบางส่วน (ชัตดาวน์) ยังคงยืดเยื้อต่อไป

"มีการคาดการณ์กันว่าการเติบโตของเศรษฐกิจจะลดลงเหลือ 0% ในไตรมาสนี้ หากภาวะชัตดาวน์ดำเนินไปตลอดทั้งไตรมาส" นายไดมอนกล่าว

นอกจากนี้ นายไดมอนยังเรียกร้องให้บรรดาผู้นำของสหรัฐทำงานร่วมกันอย่างสร้างสรรค์ เพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้แก่ผู้บริโภคและภาคธุรกิจ ขณะที่รัฐบาล, ประชาชน และภาคธุรกิจต้องทำงานร่วมกันเพื่อแก้ไขปัญหา และสร้างความแข็งแกร่งทางเศรษฐกิจเพื่อประโยชน์ของทุกคน

-- นายเอ็ด บาสเตียน ประธานเจ้าหน้าที่บริหารของสายการบินเดลต้า แอร์ไลน์ กล่าวว่า การปิดหน่วยงานรัฐบาลบางส่วน (ชัตดาวน์) จะทำให้เดลต้า แอร์ไลน์ สูญเสียรายได้ราว 25 ล้านดอลลาร์ในเดือนนี้ เนื่องจากทำให้การเดินทางของเจ้าหน้าที่รัฐบาล และข้าราชการลดลง

"เรากำลังเห็นว่ารายได้ลดลงในเดือนนี้" นายบาสเตียนกล่าว

นอกจากนี้ นายบาสเตียนยังระบุว่า เดลต้ายังได้รับผลกระทบจากความล่าช้าในการออกใบอนุญาตสำหรับเครื่องบินใหม่ เนื่องจากเจ้าหน้าที่ผ่ายตรวจสอบของสำนักงานการบินของรัฐบาลกลางสหรัฐ (FAA) ไม่ได้ทำงานในช่วงนี้ อันเนื่องจากภาวะชัตดาวน์

-- สำนักงานสถิติแห่งชาติของเยอรมนีเปิดเผยว่า เศรษฐกิจเยอรมนีมีการขยายตัวเพียง 1.5% ในปีที่แล้ว ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดในรอบ 5 ปี แต่สอดคล้องกับตัวเลขคาดการณ์ของนักวิเคราะห์ หลังจากที่มีการขยายตัว 2.2% ในปี 2560

ทั้งนี้ เศรษฐกิจเยอรมนีได้รับผลกระทบจากภาวะชะลอตัวของเศรษฐกิจโลก, ความขัดแย้งทางการค้าระหว่างสหรัฐและประเทศคู่ค้า และความเสี่ยงที่อังกฤษอาจแยกตัวออกจากสหภาพยุโรป (Brexit) โดยไม่มีการทำข้อตกลง

สำนักงานสถิติระบุว่า เศรษฐกิจเยอรมนีมีการขยายตัวเป็นปีที่ 9 ติดต่อกัน แต่ในอัตราที่ชะลอลง ขณะที่การเติบโตได้รับแรงหนุนจากอุปสงค์ภายในประเทศ โดยการใช้จ่ายของภาคครัวเรือน และการใช้จ่ายในภาครัฐต่างปรับตัวขึ้นในปีที่แล้ว

-- สำนักงานศุลกากรแห่งชาติของเกาหลีใต้เปิดเผยว่า มูลค่าการค้าของประเทศอยู่ที่ระดับ 1 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐติดต่อกันเป็นปีที่ 2 ในปี 2561 เนื่องจากยอดส่งออกเพิ่มขึ้นไปอยู่ที่ 6 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์

รายงานระบุว่า ตัวเลขส่งออกที่ได้รับการแก้ไขทบทวน เพิ่มขึ้น 5.5% เมื่อปีที่แล้ว สู่ระดับ 6.052 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐ ส่วนการนำเข้าเพิ่มขึ้น 11.8% แตะ 5.35 แสนล้านดอลลาร์ เพิ่มขึ้น 11.8%

ส่วนยอดการค้าของเกาหลีใต้ทำสถิติใหม่เพิ่มขึ้นแตะระดับสูงสุดในรอบปีที่ 1.14 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐในปี 2561 แตะระดับ 1 ล้านดอลลาร์สหรัฐเป็นปีที่ 2 ติดต่อกัน ขณะที่ยอดเกินดุลการค้าของเกาหลีใต้แตะ 7 หมื่นล้านดอลลาร์

-- สำหรับข้อมูลเศรษฐกิจสำคัญที่มีกำหนดการเปิดเผยวันนี้ได้แก่ ยอดสั่งซื้อเครื่องจักรเดือนพ.ย.และดัชนีราคาผู้ผลิต (PPI) เดือนธ.ค.ของญี่ปุ่น, อัตราเงินเฟ้อเดือนธ.ค.ของเยอรมนี และอัตราเงินเฟ้อเดือนธ.ค.ของอังกฤษ ทางด้านสหรัฐจะเปิดเผยราคานำเข้าและราคาส่งออกเดือนธ.ค., ดัชนีตลาดที่อยู่อาศัยเดือนม.ค.จากสมาคมผู้สร้างบ้านแห่งชาติ (NAHB) และรายงานสรุปภาวะเศรษฐกิจ หรือ Beige Book จากธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด)

ส่วนในวันพรุ่งนี้ ออสเตรเลียเตรียมเปิดเผยดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคเดือนม.ค.จากเวสต์แพค อียูเตรียมเปิดเผยอัตราเงินเฟ้อเดือนธ.ค. ขณะที่สหรัฐเตรียมเปิดเผย จำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานรายสัปดาห์และดัชนีการผลิตเดือนม.ค.จากเฟดฟิลาเดลเฟีย


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ