World Today: สรุปประเด็นน่าติดตามประจำวันที่ 5 มิถุนายน 2562

ข่าวเศรษฐกิจ Wednesday June 5, 2019 09:22 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

สำนักข่าว CCTV รายงานว่า ทางการจีนได้ออกมาเตือนนักท่องเที่ยวเกี่ยวกับความไม่ปลอดภัยในการเดินทางเยือนสหรัฐ อาทิ เหตุกราดยิงที่เกิดขึ้นบ่อยครั้ง การปล้นทรัพย์ และการขโมยของ นอกจากนี้ยังระบุอีกด้วยว่า หน่วยงานรัฐบาลของสหรัฐยังได้ทำการข่มขู่ประชาชนชาวจีนผ่านด่านตรวจคนเข้าและออกจากประเทศอีกด้วย

ขณะเดียวกันรายงานระบุว่า ยอดขายของแบรนด์เครื่องประดับ Tiffany & Co จากลูกค้าชาวจีนลดลงกว่า 25% ในไตรมาสที่ผ่านมา หลังได้รับผลกระทบจากสงครามการค้า

-- ดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กพุ่งขึ้น 512.40 จุด หรือ 2.06% เมื่อคืนนี้ หลังจากนายเจอโรม พาวเวล ประธานธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ส่งสัญญาณปรับลดอัตราดอกเบี้ย นอกจากนี้ ตลาดยังได้รับปัจจัยหนุนจากข่าวที่ว่า สภาคองเกรสเตรียมลงมติคัดค้านแผนการของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ในการปรับขึ้นอัตราภาษีสินค้านำเข้าจากเม็กซิโก

-- นายเจอโรม พาวเวล ประธานเฟด กล่าวเมื่อวานนี้ว่า เฟดกำลังจับตามองพัฒนาการทางเศรษฐกิจในขณะนี้ และจะดำเนินการในสิ่งที่ต้องทำเพื่อให้การขยายตัวทางเศรษฐกิจดำเนินต่อไป

"เราไม่รู้ว่าการทำสงครามการค้าจะได้ข้อยุติเมื่อใด และอย่างไร แต่เรากำลังจับตามองสิ่งบ่งชี้เกี่ยวกับแนวโน้มเศรษฐกิจสหรัฐ และเราจะดำเนินการอย่างเหมาะสมเพื่อรักษาการขยายตัวทางเศรษฐกิจต่อไป โดยมีตลาดแรงงานที่แข็งแกร่ง และเงินเฟ้ออยู่ใกล้ระดับเป้าหมาย 2%" นายพาวเวลกล่าว

นายพาวเวลยังเปิดเผยว่า เครื่องมือที่เฟดเคยใช้ในช่วงที่เกิดวิกฤตการณ์ ซึ่งได้แก่ การกำหนดให้อัตราดอกเบี้ยอยู่ใกล้ 0% และการเข้าซื้อพันธบัตรตามมาตรการ QE มีแนวโน้มที่จะนำมาใช้อีกครั้งหนึ่ง

-- นายฟิลิป โลว์ ผู้ว่าการธนาคารกลางออสเตรเลีย (RBA) ออกมากล่าวว่า "ทางคณะกรรมการยังไม่ได้ตัดสินใจอะไรตอนนี้ แต่มีความเป็นไปได้ที่อัตราดอกเบี้ยนโยบายจะปรับตัวต่ำลงอีก" โดยคำกล่าวของนายโลว์มีขึ้น หลังจากที่มีประกาศปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงจาก 1.5% สู่ 1.25% ในการประชุมเมื่อวานนี้

ทั้งนี้ ตัวเลขผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) ของออสเตรเลียในไตรมาสแรกชะลอตัวลงแตะ 1.8% เทียบรายปี เนื่องจากการลงทุนในภาคธุรกิจอ่อนแอลง

-- เครดิต สวิส เปิดเผยว่า การปฏิรูปท่อส่งน้ำมันของจีนจะส่งผลให้เกิดการแข่งขันในอุตสาหกรรมก๊าซธรรมชาติ ซึ่งจะส่งผลให้ราคาน้ำมันปรับตัวลง พร้อมกระตุ้นอุปสงค์จากประเทศผู้นำเข้าหลัก ๆ โดยคาดว่าจะราคาน้ำมันจะปรับตัวลง 10% ในช่วงปี 2563-2564

-- ดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) ภาคบริการของจีน ซึ่งมาร์กิตจัดทำร่วมกับไฉซิน อยู่ที่ระดับ 52.7 ในเดือนพ.ค. ซึ่งร่วงลงจากระดับ 54.5 ในเดือนเม.ย. และน้อยกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ว่าจะอยู่ที่ระดับ 54.5

อย่างไรก็ตาม ดัชนี PMI ที่เคลื่อนไหวเหนือระดับ 50 บ่งชี้ว่า ภาคบริการของจีนมีการขยายตัว ขณะที่ดัชนีที่เคลื่อนไหวต่ำกว่า 50 บ่งชี้ถึงภาวะหดตัวในภาคบริการ

-- ธนาคารโลก (เวิลด์แบงก์) ปรับลดคาดการณ์การขยายตัวของเศรษฐกิจโลกในปี 2562 ลงสู่ระดับ 2.6% ซึ่งลดลง 0.3% จากที่คาดการณ์ไว้ในเดือนม.ค.ว่าเศรษฐกิจโลกจะขยายตัว 2.9% เนื่องจากผลกระทบของข้อพิพาทการค้า ภาวะตึงตัวด้านการเงินที่เกิดขึ้นทั่วโลก และการชะลอตัวของเศรษฐกิจในประเทศขนาดใหญ่

ส่วนในปี 2563 นั้น ธนาคารโลกคาดการณ์ว่า การขยายตัวของเศรษฐกิจโลกจะอยู่ที่ระดับ 2.7%

ทั้งนี้ ธนาคารโลกได้เปิดเผยตัวเลขคาดการณ์ดังกล่าวในรายงาน "Global Economic Prospects" ซึ่งเป็นรายงานรอบครึ่งปีของธนาคารโลก

-- สมาคมผู้ค้าปลีกอังกฤษ (BRC) เปิดเผยว่า ยอดค้าปลีกดิ่งลง 2.7% ในเดือนพ.ค. เมื่อเทียบรายปี ซึ่งเป็นการปรับตัวลงมากที่สุดนับตั้งแต่เริ่มมีการบันทึกข้อมูลในปี 2538

BRC ระบุว่า ยอดค้าปลีกอยู่ในระดับสูงในช่วงเดือนพ.ค.ปีที่แล้ว เนื่องจากอยู่ในช่วงการแข่งขันฟุตบอลโลก ในขณะที่เดือนพ.ค.ในปีนี้ มีแต่ความไม่แน่นอนเกี่ยวกับปัจจัยเศรษฐกิจ และการเมือง

-- ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์กล่าวว่า เขาเชื่อว่าอังกฤษจะสามารถทำข้อตกลงที่มีความสำคัญเป็นอย่างยิ่งกับทางสหรัฐ หลังจากที่อังกฤษแยกตัวออกจากสหภาพยุโรป (Brexit)

"ผมคิดว่าเราจะทำข้อตกลงที่มีความสำคัญมาก" ปธน.ทรัมป์กล่าวกับนางเทเรซา เมย์ นายกรัฐมนตรีอังกฤษ

"มีบางสิ่งที่คุณต้องการจะทำ และบางสิ่งที่คนของผมต้องการทำ ขอให้เรามาทำข้อตกลงนี้ด้วยกัน" เขากล่าว

ทั้งนี้ ปธน.ทรัมป์อยู่ในระหว่างการเดินทางเยือนอังกฤษอย่างเป็นทางการเป็นวันที่ 2 โดยเขาได้ประชุมร่วมกับนางเมย์ และผู้นำในภาคธุรกิจของอังกฤษ

ปธน.ทรัมป์เชื่อว่า ยังคงมีโอกาสที่การค้าระหว่างสหรัฐและอังกฤษจะสามารถขยายตัวมากขึ้น

-- จับตาข้อมูลเศรษฐกิจที่มีกำหนดเปิดเผยในวันนี้ โดยเกาหลีใต้เตรียมเปิดเผยดุลบัญชีเดินสะพัดเดือนเม.ย. ขณะที่มาร์กิตเตรียมเปิดเผยดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) ภาคบริการเดือนพ.ค.ของฝรั่งเศส เยอรมนี อียู อังกฤษ และสหรัฐ ส่วนทางด้านสหรัฐเองนั้น มีกำหนดเปิดเผยตัวเลขจ้างงานภาคเอกชนเดือนพ.ค.จาก ADP, ดัชนีภาคบริการเดือนพ.ค.จากสถาบันจัดการด้านอุปทานของสหรัฐ (ISM) และรายงานสรุปภาวะเศรษฐกิจ หรือ Beige Book จากธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด)

สำหรับวันพรุ่งนี้ เยอรมนีเตรียมเปิดเผยยอดสั่งซื้อภาคโรงงานเดือนเม.ย. ขณะที่อียูเตรียมเปิดเผยผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) ไตรมาส 1/2562 (ประมาณการครั้งที่ 3) และธนาคารกลางยุโรป (ECB) ประชุมนโยบายการเงินและแถลงมติอัตราดอกเบี้ย ทางด้านสหรัฐเตรียมเปิดเผยจำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานรายสัปดาห์, ดุลการค้าเดือนเม.ย. และผลิตภาพ-ต้นทุนแรงงานต่อหน่วยไตรมาส 1/2562


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ