World Today: สรุปประเด็นน่าติดตามประจำวันที่ 5 กันยายน 2562

ข่าวเศรษฐกิจ Thursday September 5, 2019 09:08 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

ดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดพุ่งขึ้น 237.45 จุด หรือ 0.91% เมื่อคืนนี้ (4 ก.ย.) ขานรับรายงานสรุปภาวะเศรษฐกิจ หรือ "Beige Book" ของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ซึ่งระบุว่า เศรษฐกิจมีการขยายตัวปานกลางและภาคธุรกิจยังคงมีมุมมองบวกต่อแนวโน้มเศรษฐกิจ แม้เผชิญกับแรงกดดันจากนโยบายการค้าของรัฐบาลก็ตาม นอกจากนี้ ตลาดยังได้รับปัจจัยหนุนจากสถานการณ์ในฮ่องกงที่เริ่มคลายความตึงเครียด รวมทั้งดัชนีภาคบริการของจีนที่ขยายตัวสูงสุดในรอบ 3 เดือน

-- ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) เปิดเผยรายงานสรุปภาวะเศรษฐกิจทั้ง 12 เขต หรือ "Beige Book" เมื่อวานนี้ โดยระบุว่า เศรษฐกิจใน 8 เขตจากทั้งหมด 12 เขตที่ได้รับการสำรวจนั้น มีการขยายตัวเล็กน้อยจนถึงปานกลาง เนื่องจากภาคธุรกิจส่วนใหญ่ยังคงมีมุมมองเป็นบวกต่อแนวโน้มเศรษฐกิจในระยะใกล้นี้ และเชื่อว่าเศรษฐกิจจะยังคงขยายตัวอย่างต่อเนื่อง แม้จะมีความกังวลเกี่ยวกับนโยบายการค้าและภาษีศุลกากรก็ตาม

รายงานดังกล่าวระบุว่า ภาคการผลิตในเขตส่วนใหญ่ยังคงมีการขยายตัว แม้จะช้าลงบ้างก็ตาม โดยเฉพาะอย่างยิ่งในอุตสาหกรรมการผลิตรถยนต์และพลังงาน

"แม้มีความกังวลเกี่ยวกับนโยบายการค้าและภาษีศุลกากรที่ยังคงไม่แน่นอนในขณะนี้ แต่ภาคธุรกิจส่วนใหญ่ยังคงมีมุมมองเป็นบวกต่อแนวโน้มเศรษฐกิจในระยะใกล้นี้" รายงาน Beige Book ระบุ

-- สภาสามัญชนของอังกฤษให้การอนุมัติร่างกฎหมายป้องกันการแยกตัวของอังกฤษออกจากสหภาพยุโรปโดยไม่มีการทำข้อตกลง หรือ "no-deal Brexit" ด้วยคะแนนเสียง 327 ต่อ 299 เสียง เมื่อวานนี้

ร่างกฎหมายดังกล่าวจะเป็นการกดดันให้นายบอริส จอห์นสัน นายกรัฐมนตรี ร้องขอต่อสหภาพยุโรป (EU) เพื่อขยายกำหนดเส้นตายในการแยกตัวของอังกฤษออกจาก EU เป็นวันที่ 31 ม.ค.2563 จากเดิมวันที่ 31 ต.ค.นี้ หากนายจอห์นสันไม่สามารถยื่นข้อตกลง Brexit ฉบับใหม่เข้าสู่การพิจารณาของรัฐสภา และได้รับการอนุมัติภายในวันที่ 31 ต.ค.

สำหรับขั้นตอนต่อไปนั้น สภาสามัญชนจะยื่นร่างกฎหมายที่ได้รับการอนุมัติเมื่อวานนี้ เข้าสู่การพิจารณาของสภาขุนนางต่อไป

-- สำนักข่าวซินหัวรายงานว่า หัวหน้าคณะผู้แทนเจรจาการค้าของจีนและสหรัฐ ได้เห็นพ้องร่วมกันในวันนี้ว่า ทั้งสองฝ่ายจะร่วมมือกันอย่างจริงจังในการสร้างปัจจัยแวดล้อมที่เอื้ออำนวยต่อการปรึกษาหารือด้านการค้า

รายงานระบุว่า ในการสนทนาทางโทรศัพท์ครั้งล่าสุดนี้ จีนและสหรัฐได้เห็นพ้องที่จะจัดการประชุมเพื่อหารือด้านเศรษฐกิจและการค้าในระดับสูงครั้งที่ 13 ในช่วงต้นเดือนต.ค.นี้ ที่กรุงวอชิงตัน

-- ผู้ใช้งานเว็บไซต์ LIHKG ซึ่งเป็นแพลตฟอร์มหลักของผู้ประท้วงในฮ่องกงนั้น ยังคงแสดงความไม่พอใจแม้นางแคร์รี ลัม ผู้ว่าการเขตปกครองพิเศษฮ่องกง ได้ประกาศการถอนร่างกฎหมายส่งตัวผู้ร้ายข้ามแดนไปยังประเทศจีนอย่างเป็นทางการแล้วเมื่อวานนี้ เนื่องจากการถอนร่างกฎหมายดังกล่าวเป็นเพียง 1 ใน 5 ข้อเรียกร้องของกลุ่มผู้ประท้วง และยังเหลืออีก 4 ข้อเรียกร้องที่ยังไม่ได้รับการตอบสนอง โดยเฉพาะอย่างยิ่งสิทธิในการเลือกผู้นำฮ่องกงด้วยตนเอง ไม่ผ่านการเสนอจากรัฐบาลจีนแผ่นดินใหญ่

นอกจากนี้ ผู้ประท้วงยังมองว่า ฮ่องกงอาจใช้การประกาศถอนร่างกฎหมายดังกล่าวเป็นข้ออ้างในการแสดงว่าทางรัฐบาลได้ยอมอ่อนข้อแล้ว แต่ผู้ประท้วงเป็นฝ่ายที่ก่อความรุนแรงไม่เลิก จนท้ายที่สุดทำให้รัฐบาลจีนแผ่นดินใหญ่ต้องหาทางเข้ามาจัดการ

ความเคลื่อนไหวดังกล่าวมีขึ้น หลังเมื่อวานนี้นางแคร์รี ลัม ผู้ว่าการเขตปกครองพิเศษฮ่องกง ได้ประกาศการถอนร่างกฎหมายส่งตัวผู้ร้ายข้ามแดนไปยังประเทศจีนอย่างเป็นทางการ ซึ่งถือเป็นการตอบสนองหนึ่งในข้อเรียกร้องหลักๆของกลุ่มผู้ประท้วง

-- มาสเตอร์การ์ด บริษัทผู้ให้บริการทางการเงินระดับโลก เปิดเผยว่า กรุงเทพฯยังคงครองอันดับ 1 ของการเป็นเมืองน่าท่องเที่ยวที่สุดในโลกในปีที่แล้ว ติดต่อกันเป็นปีที่ 4 โดยมีนักท่องเที่ยวเดินทางเข้าประเทศ 22.8 ล้านคนในปี 2561

ทั้งนี้ ผลการจัดอันดับเมืองที่คนทั่วโลกนิยมท่องเที่ยวมากที่สุด (Mastercard Global Destination Cities Index) พบว่า กรุงเทพฯยังคงครองอันดับ 1 ตามมาด้วยปารีส, ลอนดอน, ดูไบ, สิงคโปร์, กัวลาลัมเปอร์, นิวยอร์ก, อิสตันบูล, โตเกียว และเมืองอันทาลยาในตุรกี

นักท่องเที่ยวที่เดินทางมายังกรุงเทพฯส่วนใหญ่มาจากจีน รวมทั้งเกาหลีใต้, ญี่ปุ่น, อินเดีย และสหราชอาณาจักร

ส่วนสถานที่ท่องเที่ยวยอดนิยมในกรุงเทพฯ ได้แก่ พระบรมมหาราชวัง และวัดอรุณราชวราราม และยังรวมถึงตลาดน้ำดำเนินสะดวก

-- ราคาหุ้นของบริษัทสตาร์บัคส์ คอร์ป ดิ่งลงกว่า 3% เมื่อคืนนี้ หลังจากที่บริษัทคาดการณ์ตัวเลขกำไรในปีงบการเงิน 2563 ต่ำกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้

ทั้งนี้ สตาร์บัคส์คาดการณ์ว่าตัวเลขกำไรต่อหุ้นในปีงบการเงิน 2563 จะอยู่ในระดับต่ำกว่าแบบจำลองการเติบโตของบริษัทที่ระดับ 10%

นอกจากนี้ สตาร์บัคส์ยังคาดการณ์ว่าตัวเลขกำไรต่อหุ้นในปีงบการเงิน 2562 จะอยู่ในช่วง 2.80-2.82 ดอลลาร์

-- จับตาข้อมูลเศรษฐกิจในวันนี้ โดยออสเตรเลียเตรียมเปิดเผยดุลการค้าเดือนก.ค. ขณะที่สหรัฐเปิดเผยตัวเลขจ้างงานภาคเอกชนเดือนส.ค.จาก ADP, จำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานรายสัปดาห์, ดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) ภาคบริการขั้นสุดท้ายเดือนส.ค.จากมาร์กิต, ดัชนีภาคบริการเดือนส.ค.จากสถาบันจัดการด้านอุปทานของสหรัฐ (ISM) และยอดสั่งซื้อภาคโรงงานเดือนก.ค.

ส่วนในวันพรุ่งนี้ เยอรมนีเปิดเผยการผลิตภาคอุตสาหกรรมเดือนก.ค. อียูเปิดเผยผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) ไตรมาส 2 (ประมาณการครั้งสุดท้าย) และสหรัฐเปิดเผยตัวเลขจ้างงานนอกภาคเกษตรเดือนส.ค.


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ