World Today: สรุปประเด็นน่าติดตามประจำวันที่ 3 มกราคม 2563

ข่าวเศรษฐกิจ Friday January 3, 2020 08:57 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

ดัชนีดาวโจนส์, S&P500 และ Nasdaq ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดพุ่งขึ้นทำนิวไฮเมื่อคืนนี้ ขานรับข่าวธนาคารกลางจีนประกาศผ่อนคลายนโยบายการเงิน ด้วยการปรับลดสัดส่วนการกันสำรองของสถาบันการเงิน (RRR) รวมทั้งความคืบหน้าในการทำข้อตกลงการค้าระหว่างสหรัฐและจีน โดยข่าวดังกล่าวช่วยหนุนแรงซื้อหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีและกลุ่มอุตสาหกรรมอย่างคักคัก เนื่องจากบริษัทรายใหญ่หลายแห่งในทั้งสองภาคส่วนนี้มีการลงทุนจำนวนมากในประเทศจีน ขณะที่นักลงทุนจับตารายงานการประชุมประจำเดือนธ.ค.ของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ซึ่งมีกำหนดเปิดเผยในวันนี้ตามเวลาสหรัฐ หรือในช่วงเช้าตรู่วันพรุ่งนี้ตามเวลาไทย เพื่อจับสัญญาณแนวโน้มอัตราดอกเบี้ยของเฟดในปีนี้

-- จับตาตลาดหุ้นเอเชียวันนี้ คาดปรับตัวเพิ่มขึ้นตามตลาดหุ้นนิวยอร์กซึ่งปรับตัวเพิ่มขึ้นอย่างแข็งแกร่งเมื่อคืนนี้

-- สำนักข่าวบลูมเบิร์กรายงานว่า ค่าเงินบาทของไทยได้ร่วงลงอย่างหนักเมื่อวานนี้ แม้ก่อนที่ตลาดการเงินในประเทศจะเปิดทำการ

บลูมเบิร์กระบุว่า บาททรุดตัวลง 1.8% ในการซื้อขายช่วงเช้าในตลาดเอเชีย ซึ่งเป็นการร่วงลงมากที่สุดนับตั้งแต่ปี 2550 สู่ระดับ 30.226 บาท/ดอลลาร์ และได้หักล้างช่วงการแข็งค่าที่ทำไว้ในช่วง 3 วันที่ผ่านมา หลังจากที่หลุดระดับ 30 เทียบดอลลาร์ในวันที่ 30 ธ.ค.2562

"สิ่งนี้อาจเป็นการแทรกแซงจากธนาคารแห่งประเทศไทย หลังจากที่เคยระบุว่าทางธนาคารกลางจะเข้าดูแลการแข็งค่าของบาท" นายหมิงเจอ หวู่ นักค้าเงินของบริษัท INTL FCStone ในสิงคโปร์กล่าว

ทั้งนี้ บาทถือเป็นสกุลเงินเอเชียที่ปรับตัวขึ้นมากที่สุดในปีที่แล้ว โดยแข็งค่าเกือบ 9% จากการที่นักลงทุนต่างชาติมองว่าบาทเป็นสินทรัพย์ปลอดภัย ท่ามกลางการทำสงครามการค้าระหว่างสหรัฐและจีน ขณะที่ไทยมีตัวเลขทุนสำรอง และมีการเกินดุลบัญชีเดินสะพัดจำนวนมาก

-- หุ้นแอปเปิล ทะลุหลัก 300 ดอลลาร์เป็นครั้งแรกในการซื้อขายเมื่อคืนนี้ โดยปรับตัวเพิ่มขึ้นถึง 2.3% แตะระดับ 300.35 ดอลลาร์ เนื่องจากนักลงทุนมีความเชื่อมั่นในเรื่องศักยภาพของแอปเปิลในช่วงเทศกาลช้อปปิ้ง ขณะเดียวกันก็ตั้งตารอให้แอปเปิลเปิดตัวสมาร์ทโฟนรุ่นใหม่ที่รองรับเครือข่าย 5G รวมถึงบริการอื่น ๆ เช่น บริการสตรีมเพลงและรายการทีวี

-- กรมอุตุนิยมวิทยาญี่ปุ่นรายงานว่า เกิดเหตุแผ่นดินไหวขนาด 5.9 แมกนิจูดทางภาคตะวันออกของญี่ปุ่นในช่วงเช้านี้ แต่ไม่มีการเตือนภัยคลื่นยักษ์สึนามิ

สำนักข่าวเกียวโดรายงานว่า แผ่นดินไหวครั้งนี้เกิดขึ้นเมื่อเวลา 3.24 น.ตามเวลาท้องถิ่นในมหาสมุทรแปซิฟิกนอกชายฝั่งเขตชิบะ โดยมีจุดศูนย์กลางอยู่ที่ระดับความลึกประมาณ 30 กิโลเมตร

-- นายคาร์ลอส กอส์น อดีตประธานบริษัทนิสสัน-เรโนลต์ กล่าวยืนยันเมื่อคืนนี้ว่า เขาได้เตรียมการหลบหนีออกจากญี่ปุ่น โดยไม่ได้รับความช่วยเหลือจากครอบครัวแต่อย่างใด

"มีการคาดเดาในสื่อมวลชนว่า แคโรล ภรรยาของผม และสมาชิกคนอื่นๆในครอบครัวของผมมีส่วนเกี่ยวข้องกับการที่ผมเดินทางออกจากญี่ปุ่น ซึ่งการคาดการณ์ดังกล่าวไม่ถูกต้อง โดยผมได้เตรียมการดังกล่าวแต่เพียงผู้เดียว และครอบครัวของผมไม่มีบทบาทในเรื่องนี้แต่อย่างใด" แถลงการณ์ของนายกอส์นระบุ

นอกจากนี้ แหล่งข่าวระบุว่า ทางการเลบานอนได้รับหมายจับนายกอส์นจากองค์การตำรวจสากล (อินเตอร์โพล) เมื่อคืนนี้

อย่างไรก็ดี สำนักงานความมั่นคงภายในของเลบานอนเป็นหน่วยงานรับหมายแดงจากอินเตอร์โพลดังกล่าว แต่ยังไม่มีการส่งต่อไปยังฝ่ายตุลาการ

แหล่งข่าวระบุว่า ทางการเลบานอนยังไม่ได้ทำการตัดสินใจเกี่ยวกับการดำเนินการต่อนายกอส์นหลังจากที่ได้รับหมายจับจากอินเตอร์โพล

-- สำหรับข้อมูลเศรษฐกิจสำคัญที่มีการรายงานเมื่อคืนนี้ กระทรวงแรงงานสหรัฐเปิดเผยว่า จำนวนชาวอเมริกันที่ยื่นขอสวัสดิการว่างงานครั้งแรกลดลง 2,000 ราย สู่ระดับ 222,000 รายในสัปดาห์ที่แล้ว ต่ำกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ที่ระดับ 225,000 ราย

ไอเอชเอส มาร์กิต ซึ่งเป็นบริษัทให้บริการข้อมูลทางการเงิน เปิดเผยว่า ดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) ภาคการผลิตของสหรัฐ ปรับตัวลงสู่ระดับ 52.4 ในเดือนธ.ค. จากระดับ 52.6 ในเดือนพ.ย. อย่างไรก็ดี ดัชนี PMI ยังคงอยู่สูงกว่าระดับ 50 ซึ่งบ่งชี้ว่าภาคการผลิตของสหรัฐยังคงมีการขยายตัว

-- สำหรับข้อมูลเศรษฐกิจสำคัญวันนี้ สถาบันจัดการด้านอุปทานของสหรัฐ (ISM) เตรียมรายงานดัชนีภาคการผลิตเดือนธ.ค. เวลา 22.00 น. ตามเวลาไทย

สำนักงานสารสนเทศด้านพลังงานสหรัฐ (EIA) เตรียมรายงานตัวเลขสต็อกน้ำมันรายสัปดาห์ เวลา 23.00 น.

-- นักลงทุนจับตารายงานการประชุมประจำเดือนธ.ค.ของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ในวันนี้ตามเวลาสหรัฐ หรือเวลา 02.00 น. ในช่วงเช้ามืดของวันพรุ่งนี้ตามเวลาไทย เพื่อจับสัญญาณเกี่ยวกับทิศทางอัตราดอกเบี้ยในปีนี้

ในการประชุมเมื่อวันที่ 10-11 ธ.ค.ปีที่ผ่านมานั้น คณะกรรมการกำหนดนโยบายการเงิน (FOMC) ของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) มีมติเป็นเอกฉันท์ในการคงอัตราดอกเบี้ยระยะสั้นที่ระดับ 1.50-1.75% ตามที่ตลาดการเงินคาดการณ์ไว้ หลังจากที่ได้ปรับลดอัตราดอกเบี้ยติดต่อกัน 3 ครั้งในปีนี้


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ