World Today: สรุปประเด็นน่าติดตามประจำวันที่ 7 มกราคม 2563

ข่าวเศรษฐกิจ Tuesday January 7, 2020 09:07 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

ตลาดหุ้นสหรัฐฟื้นตัวขึ้นเมื่อคืนนี้ (6 ม.ค.) เนื่องจากนักลงทุนเริ่มหันความสนใจออกจากสถานการณ์ตึงเครียดในตะวันออกกลาง และเข้าซื้อหุ้นกลุ่มเทคโนโลยี ท่ามกลางแนวโน้มที่เป็นบวกเกี่ยวกับการทำข้อตกลงการค้าเฟสแรกระหว่างสหรัฐและจีน รวมทั้งความหวังที่ว่า ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) จะใช้เครื่องมือทางการเงินเพื่อพยุงเศรษฐกิจ หากสถานการณ์ระหว่างสหรัฐและอิหร่านรุนแรงจนส่งผลให้เศรษฐกิจตกอยู่ในภาวะไร้เสถียรภาพ

นักวิเคราะห์จากบริษัทหลักทรัพย์อินเวสโก กล่าวว่า นักลงทุนเริ่มซึมซับสถานการณ์ตึงเครียดระหว่างสหรัฐและอิหร่าน และหันมาให้ความสนใจต่อแนวโน้มที่เป็นบวกของการเจรจาการค้าเฟสแรกระหว่างสหรัฐและจีนที่คาดว่าจะเกิดขึ้นในช่วงกลางเดือนนี้ นอกจากนี้ นักลงทุนยังมีความหวังว่า เฟดจะออกมาตรการต่างๆเพื่อรับมือ หากความตึงเครียดระหว่างสหรัฐและอิหร่านเลวร้ายลงและบั่นทอนเสถียรภาพทางเศรษฐกิจ

-- ตลาดหุ้นเอเชียดีดตัวขึ้นในวันนี้ หลังจากนักลงทุนเริ่มปรับตัวรับสถานการณ์ตึงเครียดในตะวันออกกลาง นอกจากนี้ ตลาดหุ้นเอเชียยังได้แรงหนุนจากตลาดหุ้นสหรัฐที่ปิดปรับตัวขึ้นเมื่อคืนนี้ โดยหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีนำตลาดฟื้นตัวขึ้น

สัญญาฟิวเจอร์ปรับตัวขึ้นเช้านี้ในตลาดหุ้นฮ่องกงและญี่ปุ่น ขณะที่ตลาดหุ้นออสเตรเลียเปิดบวก ส่วนราคาทอง, น้ำมัน, ราคาพันธบัตรและค่าเงินเยนปรับตัวลง เนื่องจากนักลงทุนเทขายสินทรัพย์ปลอดภัยออกมา หลังคลายความกังวลเกี่ยวกับสถานการณ์ตึงเครียดในตะวันออกกลาง

-- สมาคมการจัดการด้านค้าปลีกของฮ่องกงเปิดเผยว่า การประท้วงต่อต้านรัฐบาลที่ยืดเยื้อในฮ่องกงนับตั้งแต่กลางปี 2562 อาจส่งผลให้มีคนตกงานมากกว่า 5,600 คน และร้านค้าปลีกหลายพันแห่งอาจต้องปิดกิจการในช่วง 6 เดือนข้างหน้า ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อธุรกิจการให้เช่าพื้นที่ในฮ่องกงด้วย

ข้อมูลจากบริษัท Centaline Property Agency บ่งชี้ว่า มูลค่าการทำธุรกรรมให้เช่าพื้นที่สำหรับการค้าปลีกร่วงลง 26% แล้วในช่วงครึ่งหลังของปี 2562 เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปี 2561

-- ทางการจีนได้ออกมาตรการต่างๆ ในช่วงหลายสัปดาห์ที่ผ่านมาเพื่อฟื้นฟูความเชื่อมั่นของนักลงทุน โดยจะดำเนินการอย่างมีประสิทธิภาพและโปร่งใสมากขึ้นกับการผิดนัดชำระหนี้พันธบัตรที่พุ่งขึ้นอย่างมาก

อย่างไรก็ตาม นักวิเคราะห์มองว่ามาตรการเหล่านั้นยังขาดรายละเอียดต่างๆ อาทิ การบังคับใช้กฎเกณฑ์เพื่อลงโทษผู้ผิดนัดชำระหนี้ และการช่วยเหลือนักลงทุนที่ได้รับผลกระทบจากการผิดนัดชำระหนี้ นอกจากนี้ ทางการจีนยังจำเป็นต้องสร้างความแข็งแกร่งให้กับกฎหมายล้มละลายด้วย

-- นางแนนซี เพโลซี ประธานสภาผู้แทนราษฎรสหรัฐ กล่าวว่า สภาผู้แทนราษฎรจะลงคะแนนเสียงในสัปดาห์นี้ต่อญัตติจำกัดอำนาจของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ในการใช้ปฏิบัติการทางทหารต่ออิหร่าน

ทั้งนี้ สมาชิกพรรคเดโมแครตต่างแสดงความไม่พอใจต่อการที่ปธน.ทรัมป์ไม่ได้แจ้งต่อรัฐสภา และไม่ได้ขออนุมัติก่อนที่จะใช้ปฎิบัติการทางทหารโจมตีท่าอากาศยานนานาชาติกรุงแบกแดดของอิรัก จนทำให้นายพลกัสซิม โซเลมานี ผู้บัญชาการกองกำลัง Quds Force ของอิหร่าน และนายอาบู มาห์ดี อัล-มูฮันดิส รองผู้นำกองกำลังฮาชด์ชาบี (Hashd Shaabi) ของอิรัก เสียชีวิต

-- ทำเนียบเครมลินแถลงวานนี้ว่า นางอังเกลา แมร์เคิล นายกรัฐมนตรีเยอรมนี จะเดินทางเยือนกรุงมอสโกในวันเสาร์นี้ตามคำเชิญของประธานาธิบดีวลาดิเมียร์ ปูติน ผู้นำรัสเซีย

แถลงการณ์ระบุว่า ปธน.ปูตินและนางแมร์เคิลจะหารือประเด็นระหว่างประเทศ ซึ่งรวมถึงซีเรียและลิเบีย รวมทั้งความตึงเครียดในตะวันออกกลาง หลังจากที่เกิดเหตุสหรัฐโจมตีสนามบินแบกแดดในวันที่ 3 ม.ค.

-- สถานเอกอัครราชทูตสหรัฐประจำอิสราเอลออกแถลงการณ์เตือนชาวอเมริกันถึงความตึงเครียดที่เพิ่มขึ้นในตะวันออกกลาง นอกจากนี้ แถลงการณ์ดังกล่าวยังระบุให้ชาวอเมริกันใช้ความระมัดระวังเพิ่มขึ้น ขณะที่มีความเสี่ยงที่จะถูกโจมตีด้วยจรวด

อย่างไรก็ดี แถลงการณ์ดังกล่าวไม่ได้ระบุถึงการที่สหรัฐใช้โดรนสังหารนายทหารระดับสูงของอิหร่าน หรือระบุถึงภัยคุกคามจากกลุ่มใดหรือประเทศใดเป็นการเฉพาะ

-- นายเกิง ชวง โฆษกกระทรวงการต่างประเทศจีน เรียกร้องให้สหรัฐหลีกเลี่ยงการใช้กำลังทหาร และให้ทุกฝ่ายใช้ความอดกลั้น ท่ามกลางความตึงเครียดในตะวันออกกลาง

"สิ่งที่ทุกคนไม่ต้องการเห็นคือความตึงเครียดที่เพิ่มขึ้นในตะวันออกกลาง ขณะที่สันติภาพและเสถียรภาพในภูมิภาคถือว่ามีความสำคัญอย่างยิ่งต่อทุกประเทศในโลก" นายเกิงกล่าว

-- เอสแอนด์พี โกลบอล เรทติ้ง สถาบันจัดอันดับความน่าเชื่อถือระหว่างประเทศ แถลงวานนี้ว่า การที่สหรัฐสังหารนายทหารระดับสูงของอิหร่านจะไม่ทำให้เกิดสงครามเต็มรูปแบบระหว่างสหรัฐและอิหร่าน

"เรายังคงเชื่อว่าความตึงเครียดที่เพิ่มขึ้นจะยังคงมีผลกระทบที่จำกัด โดยจะส่งผลทางด้านเศรษฐกิจ สังคม และทางการเมือง ซึ่งจะสร้างภาวะไร้เสถียรภาพในภูมิภาค และกระทบต่อความเชื่อมั่นและการลงทุน" แถลงการณ์ระบุ

-- จับตาข้อมูลเศรษฐกิจในวันนี้ อียูเปิดเผยอัตราเงินเฟ้อเดือนธ.ค. ขณะที่สหรัฐเปิดเผยดุลการค้าเดือนพ.ย., ดัชนีภาคบริการเดือนธ.ค.จากสถาบันจัดการด้านอุปทานของสหรัฐ (ISM) และยอดสั่งซื้อภาคโรงงานเดือนพ.ย.

ส่วนในวันพรุ่งนี้ ออสเตรเลียเปิดเผยตัวเลขการอนุญาตก่อสร้างเดือนพ.ย., ญี่ปุ่นเปิดเผยความเชื่อมั่นผู้บริโภคเดือนธ.ค., เยอรมนีเปิดเผยยอดสั่งซื้อภาคโรงงานเดือนพ.ย., ฝรั่งเศสเปิดเผยดุลการค้าเดือนพ.ย., อังกฤษเปิดเผยดัชนีราคาบ้านเดือนธ.ค.จากฮาลิแฟกซ์, อียูเปิดเผยความเชื่อมั่นทางธุรกิจเดือนธ.ค. และความเชื่อมั่นผู้บริโภคเดือนธ.ค. และสหรัฐเปิดเผยตัวเลขจ้างงานภาคเอกชนเดือนธ.ค.จาก ADP และสต็อกน้ำมันรายสัปดาห์จากสำนักงานสารสนเทศด้านพลังงานสหรัฐ (EIA)


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ