World Today: สรุปประเด็นน่าติดตามประจำวันที่ 20 มกราคม 2563

ข่าวเศรษฐกิจ Monday January 20, 2020 09:08 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

-- จับตาการประชุมนโยบายการเงินของธนาคารกลางญี่ปุ่น (BOJ) ในวันพรุ่งนี้ รวมทั้งถ้อยแถลงของนายฮารุฮิโกะ คุโรดะ ผู้ว่าการ BOJ ซึ่งจะมีขึ้นภายหลังการประชุม

ส่วนการประชุม BOJ ครั้งหลังสุดเมื่อวันที่ 19 ธ.ค.ที่ผ่านมานั้น ที่ประชุมมีมติคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่ระดับ -0.1% และคงนโยบายการเงินแบบผ่อนคลายพิเศษ โดยมีเป้าหมายที่จะกระตุ้นเศรษฐกิจภายในประเทศให้ฟื้นตัว

-- หลายประเทศยังคงวิตกกังวลเกี่ยวกับการแพร่ระบาดของไวรัสโคโรนา โดยล่าสุด เจ้าหน้าที่ศูนย์ควบคุมและป้องกันโรคแห่งสหรัฐ (CDC) เปิดเผยว่า สนามบิน 3 แห่งของสหรัฐในซานฟรานซิสโก, นิวยอร์ก และลอสแองเจลิส ได้เริ่มทำการตรวจสอบผู้โดยสารที่เดินทางมาจากเมืองอู่ฮั่นของจีน เนื่องจากวิตกว่าผู้โดยสารเหล่านั้นอาจจะติดเชื้อโคโรนาไวรัสที่เป็นสาเหตุของโรคปอดอักเสบที่ระบาดอยู่ในขณะนี้

ทางด้านคณะกรรมการสุขภาพเทศบาลเมืองอู่ฮั่นในมณฑลเหอเป่ยของจีนเปิดเผยว่า ยอดผู้ติดเชื้อปอดอักเสบเพิ่มขึ้น 17 ราย โดยเป็นชาย 12 คน และหญิง 5 คน พร้อมระบวุ่า ผู้ป่วยกลุ่มดังกล่าวมีอยู่ระหว่าง 30-79 ปี โดยมีผู้ป่วย 3 รายที่อยู่ในภาวะวิกฤต

-- สื่อต่างประเทศรายงานว่า ประธานาธิบดีสี จิ้นผิงของจีน และนางอองซาน ซูจี ที่ปรึกษาแห่งรัฐของเมียนมาได้ร่วมกันลงนามข้อตกลง 33 ฉบับเมื่อวันเสาร์ที่ผ่านมา เพื่อสนับสนุนโครงการสาธารณูปโภคที่สำคัญต่างๆ มูลค่าหลายพันล้านดอลลาร์ในแผนระเบียงเศรษฐกิจจีน-เมียนมา (CMEC) ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของโครงการ Belt and Road Initiative หรือ BRI ของจีน

อย่างไรก็ตาม จีนและเมียนมาไม่ได้ตกลงกันเกี่ยวกับโครงการขนาดใหญ่ใหม่ๆ ในระหว่างที่ปธน.สีเดินทางเยือนเมียนมาอย่างเป็นทางการเป็นเวลา 2 วันระหว่างวันที่ 17-18 ม.ค.นี้ ซึ่งนักวิเคราะห์ระบุว่า เมียนมายังคงระมัดระวังเกี่ยวกับการลงทุนของจีน และชะลอการตัดสินใจลงทุนโครงการใหม่ๆ ก่อนการเลือกตั้งของเมียนมาที่จะมีขึ้นในปีนี้

-- นางคริสตาลินา จอร์จีวา ผู้อำนวยการกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) กล่าวว่า การลงนามในข้อตกลงการค้าเฟสแรกระหว่างสหรัฐและจีนจะช่วยลดปัจจัยความไม่แน่นอนที่ส่งผลกระทบต่อการเติบโตของเศรษฐกิจโลก พร้อมระบุว่า IMF อยู่ในระหว่างการวิเคราะห์การคาดการณ์ถึงผลกระทบในเชิงบวกหลังจากที่มีความแน่นอนมากขึ้น โดยข้อมูลดังกล่าวจะเปิดเผยในวันจันทร์ ณ การประชุมเวิลด์ อิโคโนมิก ฟอรั่ม (WEF) ซึ่งจัดขึ้นที่เมืองดาวอส ประเทศสวิตเซอร์แลนด์

นอกจากนี้ IMF คาดการณ์ว่า ข้อตกลงการข้อจะช่วยสนับสนุนการขยายตัวของผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) ของจีน โดยนางจอร์จีวากล่าวว่า "ข้อตกลงดังกล่าวจะช่วยให้ GDP ของจีนขยายตัวราว 6% ในปี 2563"

-- เจ้าหน้าที่ตำรวจฮ่องกงได้ใช้แก๊สน้ำตาและสเปรย์พริกไทยเพื่อสลายการชุมนุมที่เกิดขึ้นเมื่อช่วงเย็นวานนี้ หลังจากกลุ่มผู้ประท้วงได้ก่อเหตุรุนแรงและทำร้ายเจ้าหน้าที่ตำรวจจนได้รับบาดเจ็บ นอกจากนี้ ตำรวจยังได้จับกุมตัวผู้ประท้วงที่ก่อเหตุเอาไว้หลายคน

ในช่วงแรกนั้น การชุมนุมเป็นไปอย่างสงบ ก่อนที่เหตุการณ์จะเริ่มรุนแรงในเวลาต่อมา โดยมีผู้ประท้วงจำนวนหนึ่งปิดกั้นเส้นทางสัญจรและใช้สีพ่นตามอาคารต่าง จึงทำให้เจ้าหน้าที่ตำรวจในชุดปราบจลาจลเข้าขัดขวาง จนนำไปสู่การปะทะกัน

สำหรับการชุมนุมครั้งล่าสุดนี้ กลุ่มผู้ประท้วงได้ออกมาเรียกร้องสิทธิในการออกเสียงเลือกตั้งทั่วไป "Universal Suffrage" โดยผู้ประท้วงระบุว่า รัฐบาลฮ่องกงไม่ได้ทำตามคำมั่นสัญญาเกี่ยวกับสิทธิดังกล่าว นับตั้งแต่จีนได้เข้าปกครองอ่องกงในปี 2540

-- ราคาน้ำมันดิบ WTI พุ่งขึ้นกว่า 1.1% ในการซื้อขายทางอิเล็กทรอนิกส์ที่ตลาดเอเชียช่วงเช้าวันนี้ เนื่องจากความวิตกกังวลเกี่ยวกับข่าวการปิดท่าเรือลำเลียงน้ำมันหลายแห่งในลิเบียซึ่งเป็นหนึ่งในสมาชิกกลุ่มประเทศผู้ส่งออกน้ำมัน (โอเปก)

ณ เวลา 07.36 น.ตามเวลาไทย สัญญาน้ำมันดิบเวสต์เท็กซัส (WTI) ส่งมอบเดือนก.พ. พุ่งขึ้น 69 เซนต์ หรือ 1.18% แตะที่ระดับ 59.23 ดอลลาร์/บาร์เรล

บริษัทเนชั่นแนล ออยล์ คอร์ปอเรชั่น (NOC) ซึ่งเป็นบริษัทน้ำมันแห่งชาติของรัฐบาลลิเบีย ประกาศภาวะสุดวิสัย (force majeure) ด้านการส่งออกน้ำมันที่ท่าเรือ 5 แห่งภายในประเทศ หลังจากกองกำลังแห่งชาติลิเบียได้สั่งปิดท่าเรือดังกล่าว โดยภาวะสุดวิสัย เป็นส่วนหนึ่งที่ระบุในสัญญาซึ่งจัดทำขึ้นเพื่อช่วยให้คู่สัญญาฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งเป็นอิสระจากข้อบังคับทางกฎหมาย เมื่อเกิดเหตุการณ์ที่ไม่สามารถควบคุมได้ อาทิ ข้อพิพาทด้านแรงงาน การก่อการร้าย และภัยพิบัติทางธรรมชาติ

แถลงการณ์ของ NOC ระบุว่า "กองกำลังแห่งชาติลิเบียได้สั่งการให้หน่วยงานในเครือของ NOC ระงับการส่งออกน้ำมันจากท่าเรือเบรกา, ท่าเรือราส ลานุฟ, ท่าเรือฮาริกา, ท่าเรือซูอีตินา และท่าเรือซีดรา ซึ่งการปิดท่าเรือเหล่านี้ส่งผลให้ลิเบียสูญเสียการผลิตน้ำมันดิบในปริมาณ 800,000 บาร์เรล/วัน หรือคิดเป็นมูลค่าราว 55 ล้านดอลลาร์สหรัฐ

-- ธนาคารกลางจีน (PBOC) กำหนดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ Loan Prime Rate (LPR) ประเภท 1 ปี ที่ระดับ 4.15% สำหรับเดือนม.ค. ซึ่งไม่เปลี่ยนแปลงจากเดือนธ.ค.

นอกจากนี้ ธนาคารกลางจีนยังได้กำหนดอัตราดอกเบี้ย LPR ประเภท 5 ปี ที่ระดับ 4.80% สำหรับเดือนม.ค. ซึ่งไม่เปลี่ยนแปลงจากระดับของเดือนธ.ค.เช่นกัน

ทั้งนี้ ศูนย์ระดมทุนระหว่างธนาคารแห่งชาติ ซึ่งเป็นองค์กรในสังกัดธนาคารกลางจีน จะเปิดเผยระดับอัตราดอกเบี้ย LPR ในเวลา 09.30 น.ตามเวลาท้องถิ่น ทุกวันที่ 20 ของเดือน โดยมาตรการดังกล่าวถือเป็นการปรับปรุงและปฏิรูปกลไกในการกำหนดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ LPR และเป็นความพยายามล่าสุดที่จะปรับลดต้นทุนการกู้ยืมเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจที่แท้จริง

-- จับตาข้อมูลเศรษฐกิจในวันนี้ โดยญี่ปุ่นเตรียมเปิดเผยการผลิตภาคอุตสาหกรรมเดือนพ.ย. และเยอรมนีเปิดเผยดัชนีราคาผู้ผลิต (PPI) เดือนธ.ค.

ส่วนในวันพรุ่งนี้ ธนาคารกลางญี่ปุ่น (BOJ) ประชุมนโยบายการเงินและแถลงมติอัตราดอกเบี้ย ขณะที่อังกฤษเตรียมเปิดเผยอัตราว่างงานเดือนพ.ย. และสถาบัน ZEW เตรียมเปิดเผยดัชนีความเชื่อมั่นทางเศรษฐกิจเดือนม.ค.ของอียูและเยอรมนี


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ