World Today: สรุปประเด็นน่าติดตามประจำวันที่ 5 กุมภาพันธ์ 2563

ข่าวเศรษฐกิจ Wednesday February 5, 2020 09:43 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

ดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดพุ่งขึ้นกว่า 400 จุดเมื่อคืนนี้ ขณะที่ดัชนี Nasdaq ปิดทำนิวไฮ เนื่องจากนักลงทุนคลายความกังวลเกี่ยวกับผลกระทบของไวรัสโคโรนาที่กำลังแพร่ระบาด หลังจากธนาคารกลางอัดฉีดสภาพคล่องติดต่อกัน 2 วันเพื่อรักษาเสถียรภาพในตลาดการเงิน ขณะเดียวกันมีรายงานว่า ธนาคารกลางจีนจะเข้าแทรกแซงตลาดเพิ่มเติมเพื่อฟื้นฟูความเชื่อมั่นของนักลงทุน ซึ่งรวมถึงการปรับลดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้สำหรับลูกค้าชั้นดี (LPR) และปรับลดสัดส่วนการกันสำรองของสถาบันการเงิน (RRR)

-- ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์แห่งสหรัฐ แถลงนโยบายประจำปี (State of the Union) ต่อสภาคองเกรสในช่วงเช้าวันนี้ตามเวลาไทย ตามคำเชิญของนางแนนซี เพโลซี ประธานสภาผู้แทนราษฎรสหรัฐ

ทั้งนี้ ปธน.ทรัมป์กล่าวสุนทรพจน์ในหัวข้อ "The Great American Comeback" โดยระบุว่า "เศรษฐกิจสหรัฐกำลังเติบโตอย่างสดใส และช่วงเวลาแห่งความหม่นหมองทางเศรษฐกิจได้ผ่านพ้นไปแล้ว"

ปธน.ทรัมป์ยังกล่าวด้วยว่า "ข้อตกลงการค้าสหรัฐ-เม็กซิโก-แคนาดา (USMCA) จะช่วยกระตุ้นการส่งออกให้กับบรรดาเกษตรกรและโรงงานของสหรัฐ ผมเชื่อมั่นว่าบริษัทต่างๆจะกลับมายังสหรัฐอีกครั้ง"

ส่วนประเด็นการค้ากับจีนนั้น ปธน.ทรัมป์กล่าวว่า "กลยุทธ์ในการเรียกเก็บภาษีสินค้าจีนประสบความสำเร็จ ในขณะที่ความสัมพันธ์ระหว่างสหรัฐและจีนอยู่ในจุดที่ดีที่สุดอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน"

-- คณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติของจีน (NHC) แถลงวันนี้ ณ วันอังคารที่ 4 ก.พ. มีผู้เสียชีวิตจากโรคปอดอักเสบที่เกิดจากการติดเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ในจีนเพิ่มขึ้นอีก 65 ราย ส่งผลให้ยอดรวมผู้เสียชีวิตในจีนเพิ่มขึ้นเป็น 490 ราย ส่วนจำนวนผู้ติดเชื้อเพิ่มอีก 3,887 ราย ส่งผลให้ยอดรวมผู้ติดเชื้อเพิ่มขึ้นเป็น 24,324 ราย

รายงานของ NHC ระบุว่า ผู้ที่เสียชีวิตรายใหม่ทั้งหมด 65 ราย ณ วันอังคารที่ 4 ก.พ. นั้น อยู่ในมณฑลหูเป่ย

ส่วนผู้ป่วยติดเชื้อที่ได้รับอนุญาตให้ออกจากโรงพยาบาลหลังจากมีอาการดีขึ้นแล้วนั้น อยู่ที่ 892 ราย

-- สื่อต่างประเทศรายงานโดยอ้างแหล่งข่าวว่า ธนาคารกลางจีนกำลังเตรียมออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจเพื่อลดผลกระทบจากการแพร่ระบาดของไวรัสโคโรนา ซึ่งรวมถึงการปรับลดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้สำหรับลูกค้าชั้นดี (LPR) ในวันที่ 20 ก.พ. และจะปรับลดสัดส่วนการกันสำรองของสถาบันการเงิน (RRR) ในช่วงไม่กี่สัปดาห์ข้างหน้า

"ขณะนี้ ธนาคารกลางใช้นโยบายการเงินแบบผ่อนคลาย และจะดำเนินการทีละขั้นตอน ขณะที่จะจับตาสถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัสดังกล่าว" แหล่งข่าวระบุ

-- กระทรวงพาณิชย์สหรัฐเปิดเผยว่า คำสั่งซื้อภาคโรงงานของสหรัฐพุ่งขึ้น 1.8% ในเดือนธ.ค. ซึ่งเป็นการเพิ่มขึ้นมากที่สุดนับตั้งแต่เดือนส.ค.2561 ขณะที่นักวิเคราะห์คาดว่าจะเพิ่มขึ้น 1.2% หลังจากร่วงลง 1.2% ในเดือนพ.ย.

การพุ่งขึ้นของคำสั่งซื้อภาคโรงงานได้รับผลบวกจากการทะยานขึ้น 7.9% ในภาคขนส่ง ซึ่งเป็นการเพิ่มขึ้นมากที่สุดนับตั้งแต่เดือนส.ค.2561

เมื่อพิจารณาทั้งปี 2562 ยอดสั่งซื้อภาคโรงงานลดลง 0.6%

ส่วนยอดสั่งซื้อสินค้าทุนพื้นฐาน ที่ไม่รวมหมวดอาวุธและเครื่องบิน ลดลง 0.8% ในเดือนธ.ค. โดยยอดสั่งซื้อดังกล่าวถือเป็นมาตรวัดความเชื่อมั่น และแผนการใช้จ่ายในภาคธุรกิจ

-- ดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) ภาคบริการของจีน ซึ่งมาร์กิตจัดทำร่วมกับไฉซิน อยู่ที่ระดับ 51.8 ในเดือนม.ค. ซึ่งชะลอลงจากระดับ 52.5 ในเดือนธ.ค.

อย่างไรก็ดี ดัชนี PMI ที่เคลื่อนไหวเหนือระดับ 50 บ่งชี้ว่า ภาคบริการของจีนยังคงมีการขยายตัว ขณะที่ดัชนีที่เคลื่อนไหวต่ำกว่า 50 บ่งชี้ถึงภาวะหดตัวในภาคบริการ

-- วุฒิสภาสหรัฐเตรียมลงมติต่อญัตติถอดถอนประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ออกจากตำแหน่งในวันพรุ่งนี้ เวลา 16.00 น.ตามเวลาสหรัฐ หรือเช้าวันพฤหัสบดี เวลา 04.00 น.ตามเวลาไทย

อย่างไรก็ดี คาดว่าวุฒิสภาจะลงมติคัดค้านการถอดถอนปธน.ทรัมป์ออกจากตำแหน่ง เนื่องจากสมาชิกพรรครีพับลิกันครองเสียงข้างมากในวุฒิสภา ขณะที่การลงมติจำเป็นต้องใช้เสียง 2 ใน 3 ของวุฒิสมาชิกจำนวน 100 คน ส่งผลให้พรรคเดโมแครตมีแนวโน้มประสบความพ่ายแพ้ในความพยายามถอดถอนปธน.ทรัมป์ออกจากตำแหน่ง

-- นายคัตสึโนบุ คาโตะ รมว.สุขภาพ, แรงงานและสวัสดิการของญี่ปุ่นเปิดเผยในการแถลงข่าววันนี้ว่า ประชาชน 10 คนที่อยู่บนเรือสำราญไดมอนด์ พรินเซสส์ของญี่ปุ่นที่ถูกกักบริเวณใกล้เมืองโยโกฮามานั้น ได้รับการตรวจสอบแล้วพบว่าติดเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ซึ่งมีต้นตอมาจากเมืองอู่ฮั่นของจีน

เรือสำราญดังกล่าวซึ่งมีผู้โดยสารและลูกเรือรวมกันราว 3,700 คนบนเรือได้ถูกกักบริเวณอยู่นอกชายฝั่งเมืองโยโกฮามา หลังจากผู้โดยสารจากฮ่องกงวัย 80 ปีรายหนึ่งติดเชื้อไวรัสโคโรนาซึ่งทำให้เป็นโรคปอดอักเสบ

นายคาโตะเปิดเผยว่า ผู้โดยสารและลูกเรือ 273 คนที่ติดต่อใกล้ชิดกับผู้โดยสารที่ติดเชื้อดังกล่าวได้ถูกตรวจสอบการติดเชื้อไวรัสดังกล่าวหรือไม่ ซึ่งผลการตรวจสอบเบื้องต้นที่ได้รับสำหรับผู้โดยสาร 31 คนนั้นพบว่า มีผู้ติดเชื้อ 10 คน และถูกส่งตัวไปรักษาที่โรงพยาบาล

-- แหล่งข่าวทางการทูตระบุว่า ประธานาธิบดีสี จิ้นผิง ผู้นำของจีน อาจต้องเลื่อนการเดินทางไปยังญี่ปุ่น เพื่อรับมือกับการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ในประเทศ

แหล่งข่าวเปิดเผยว่า การประชุมเพื่อเตรียมการสำหรับผู้นำจีนและญี่ปุ่นได้ถูกเลื่อนออกไป จากเดิมที่มีกำหนดในเดือนนี้ที่กรุงปักกิ่ง โดยการประชุมดังกล่าวเป็นการประชุมระดับผู้อำนวยการของกระทรวงการต่างประเทศ และหน่วยงานอื่นๆของรัฐบาลทั้งสองฝ่าย ซึ่งมีเป้าหมายเพื่อปูทางไปสู่การเจรจาระดับรัฐมนตรีช่วยที่จะจัดขึ้นที่กรุงโตเกียวในช่วงสิ้นเดือนนี้เพื่อร่างรายละเอียดเกี่ยวกับการเดินทางของปธน.สี จิ้นผิง

-- องค์การอนามัยโลก (WHO) ส่งข้อความในทวิตเตอร์เพื่อชี้แจงข้อมูลที่ผิดพลาดที่มีการกระจายตามสื่อโซเชียลเกี่ยวกับเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่

ทั้งนี้ มีการส่งต่อข้อมูลในโลกโซเชียลที่อ้างว่ามาจาก WHO โดยระบุว่า การกินกระเทียม, น้ำมันงา และวิตามินซี จะช่วยฆ่าเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่

อย่างไรก็ดี WHO ยืนยันว่า การกินสิ่งต่างๆที่ระบุมา ไม่ได้ช่วยปกป้องประชาชนจากการแพร่ระบาดของไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่แต่อย่างใด

นอกจากนี้ ยังมีการปล่อยข่าวในสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ที่ว่า "ไวรัสจะลงคออย่างรวดเร็วภายใน 10 นาที ถ้าไม่ได้ดื่มน้ำอย่างเพียงพอ" ซึ่ง WHO ชี้แจงว่า เรื่องนี้ไม่เป็นความจริงแต่อย่างใด

-- หนังสือพิมพ์เซาธ์ ไชน่า มอร์นิ่ง โพสต์รายงานว่า ศูนย์ควบคุมและป้องกันโรคของไต้หวัน (CDC) เปิดเผยว่า มีผู้เสียชีวิตจากไวรัส H1N1 หรือไข้หวัดหมู จำนวน 56 รายในไต้หวันในช่วง 3 เดือนที่ผ่านมา

อย่างไรก็ดี CDC ไม่ได้เปิดเผยตัวเลขผู้เสียชีวิตในสัปดาห์ที่แล้ว แต่สื่อรายงานว่ามีผู้เสียชีวิตจากไข้หวัดหมูจำนวน 13 รายในช่วงเวลาดังกล่าว

เจ้าหน้าที่ CDC ระบุว่า เชื้อไวรัส H1N1 มีการแพร่ระบาดในไต้หวันในช่วง 3 เดือนที่ผ่านมา โดยมีผู้ติดเชื้อ 771 รายซึ่งมีอาการแทรกซ้อนรุนแรงนับตั้งแต่วันที่ 1 ต.ค.2562 ขณะที่มีผู้เสียชีวิต 56 ราย

ในบรรดาผู้ป่วยที่มีอาการรุนแรง มีจำนวน 41% ที่เป็นผู้ป่วยที่มีอายุมากกว่า 65 ปี ขณะที่ 32% มีอายุ 50-64 ปี

-- องค์การสุขภาพสัตว์โลก (OIE) เปิดเผยว่า ซาอุดีอาระเบียรายงานการแพร่ระบาดของไวรัสไข้หวัดนกสายพันธุ์ H5N8 ที่ฟาร์มแห่งหนึ่งในภูมิภาคซูแดร์ทางตอนกลางของประเทศ

OIE ระบุว่า การแพร่ระบาดครั้งนี้ทำให้นกล้มตายจำนวน 22,700 ตัว และทำให้มีการฆ่ากำจัดนกที่เหลืออีก 385,300 ตัวในฟาร์มดังกล่าว

นอกจากนี้ OIE ยังระบุด้วยว่า เวียดนามก็รายงานการแพร่ระบาดของไวรัสไข้หวัดนกสายพันธุ์ H5N6 ที่หมู่บ้านแห่งหนึ่งทางตอนเหนือของประเทศ

OIE ระบุว่า การแพร่ระบาดครั้งนี้ทำให้นกล้มตายจำนวน 2,200 ตัว จากจำนวนนกทั้งหมด 3,000 ตัวในหมู่บ้านดังกล่าว

-- นายราฟาเอล บอสติค ประธานธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) สาขาแอตแลนตา กล่าวว่า การแพร่ระบาดของไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ไม่ได้เปลี่ยนมุมมองของเขาที่มีต่อนโยบายการเงิน และภาวะเศรษฐกิจของสหรัฐ

"หากเรื่องนี้กลายเป็นประเด็นระดับโลก โดยส่งผลกระทบต่อหลายประเทศ ก็จะถือเป็นเหตุการณ์พิเศษที่จะแตกต่างออกไปจากที่ผมเข้าใจในขณะนี้ แต่เมื่อพิจารณาจากประสบการณ์ในอดีตของเราที่เคยเจอเรื่องเหล่านี้มาก่อน ผมไม่คิดว่ามันจะเปลี่ยนแปลงมุมมอง หรือการคาดการณ์ของผมต่อทิศทางการดำเนินนโยบายอัตราดอกเบี้ยของเรา" นายบอสติคกล่าว

"เราได้ปรับลดอัตราดอกเบี้ยมาแล้ว 3 ครั้ง และกำลังส่งผลต่อเศรษฐกิจ ดังนั้นเราจะรอดูต่อไป ซึ่งนั่นถือเป็นมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจอย่างมาก และจะทำให้สามารถรับมือกับเหตุการณ์แพร่ระบาดในครั้งนี้" เขากล่าว

นอกจากนี้ นายบอสติคยังกล่าวว่า "ขณะที่เงินเฟ้อยังคงมีเสถียรภาพ และการจ้างงานใกล้เต็มศักยภาพ บรรดาผู้นำในภาคธุรกิจไม่ได้ส่งสัญญาณว่าจะเปลี่ยนแปลงแผนการจ้างงานและการลงทุน ดังนั้นจึงเป็นการส่งสัญญาณให้ผมว่า เศรษฐกิจจะยังคงเดินหน้าต่อไป"

-- นายแลร์รี่ คุดโลว์ หัวหน้าที่ปรึกษาฝ่ายเศรษฐกิจประจำทำเนียบขาว กล่าวว่า การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่จะชะลอการพุ่งขึ้นของการส่งออกจากสหรัฐที่คาดว่าจะได้อานิสงส์จากการทำข้อตกลงการค้าเฟสแรกกับจีน

"เป็นความจริงที่ว่า การส่งออกที่จะเกิดจากการทำข้อตกลงการค้าเฟสแรกจะล่าช้าออกไป อันเนื่องจากการแพร่ระบาดของไวรัสในจีน" นายคุดโลว์กล่าว

อย่างไรก็ดี นายคุดโลว์ยังคงคาดการณ์ว่า สหรัฐจะได้รับผลกระทบไม่มากนักจากการระบาดของไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่

-- จับตาข้อมูลเศรษฐกิจของประเทศต่างๆในวันนี้ มาร์กิตจะเปิดเผยดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) ภาคบริการขั้นสุดท้ายเดือนม.ค.ของฝรั่งเศส, เยอรมนี, อียู และสหรัฐ รวมถึงดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) ภาคบริการขั้นสุดท้ายเดือนม.ค. โดยมาร์กิต/ซีไอพีเอส ขณะที่สหรัฐจะเปิดเผยตัวเลขจ้างงานภาคเอกชนเดือนม.ค.จาก ADP, ดุลการค้าเดือนธ.ค. ดัชนีภาคบริการเดือนม.ค.จากสถาบันจัดการด้านอุปทานของสหรัฐ (ISM) และสต็อกน้ำมันรายสัปดาห์จากสำนักงานสารสนเทศด้านพลังงานสหรัฐ (EIA)

ส่วนในวันพรุ่งนี้ เกาหลีใต้เตรียมเปิดเผยทุนสำรองเงินตราต่างประเทศเดือนม.ค. และดุลบัญชีเดินสะพัดเดือนธ.ค. ออสเตรเลียเตรียมเปิดเผยดุลการค้าเดือนธ.ค. เยอรมนีเตรียมเปิดเผยยอดสั่งซื้อภาคโรงงานเดือนธ.ค. และสหรัฐเตรียมเปิดเผยจำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานรายสัปดาห์


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ