World Today: สรุปประเด็นน่าติดตามประจำวันที่ 22 พฤษภาคม 2563

ข่าวเศรษฐกิจ Friday May 22, 2020 08:48 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

ดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดลบเมื่อคืนนี้ เนื่องจากนักลงทุนวิตกกังวลว่าความตึงเครียดระหว่างสหรัฐและจีนอาจจะนำไปสู่การทำสงครามการค้ารอบใหม่ หลังจากวุฒิสภาสหรัฐผ่านร่างกฎหมายซึ่งอาจทำให้บริษัทสัญชาติจีนที่จดทะเบียนซื้อขายในตลาดหุ้นสหรัฐถูกถอดออกจากตลาด นอกจากนี้ บรรยากาศการซื้อขายยังได้รับแรงกดดันจากข้อมูลเศษฐกิจที่ซบเซาของสหรัฐ ซึ่งรวมถึงตัวเลขผู้ยื่นขอสวัสดิการว่างงานที่สูงกว่า 2.4 ล้านรายในสัปดาห์ที่ผ่านมา

-- นักลงทุนวิตกกังวลเกี่ยวกับสถานการณ์ความตึงเครียดระหว่างสหรัฐและจีน หลังจากวุฒิสภาสหรัฐมีมติเป็นเอกฉันท์ให้ผ่านร่างกฎหมาย "Holding Foreign Companies Accountable Act" ซึ่งอาจทำให้บริษัทสัญชาติจีนที่จดทะเบียนซื้อขายในตลาดหุ้นสหรัฐถูกถอดออกจากตลาด นอกจากนี้ ร่างกฎหมายดังกล่าวยังอาจทำให้บริษัทจีนจำนวนมากไม่สามารถเข้าจดทะเบียนในตลาดหุ้นสหรัฐ หรือระดมเงินทุนจากนักลงทุนชาวอเมริกันได้ในอนาคต

ร่างกฎหมายฉบับนี้กำหนดว่า บริษัทสัญชาติจีนที่เข้าจดทะเบียนซื้อขายในตลาดหุ้นสหรัฐนั้น จะต้องไม่ถูกควบคุมหรือเป็นเจ้าของโดยรัฐบาลต่างชาติ นอกจากนี้ บริษัทสัญชาติจีนจะต้องยื่นรายงานด้านการเงินเพื่อให้คณะกรรมการกำกับดูแลด้านการบัญชีของบริษัทจดทะเบียน ทำการตรวจสอบบัญชีด้วย

นอกจากนี้ การที่สหรัฐใช้วาทะกรรมทางการเมืองโจมตีจีนนั้น ยิ่งเพิ่มความวิตกกังวลเกี่ยวกับความสัมพันธ์ของทั้งสองประเทศ โดยล่าสุด ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ขู่ว่า สหรัฐจะตอบโต้จีนอย่างรุนแรงหากจีนออกกฎหมายความมั่นคงในฮ่องกงเพื่อจัดการกับกลุ่มผู้ชุมนุมประท้วง ขณะที่นายไมค์ ปอมเปโอ รัฐมนตรีต่างประเทศสหรัฐได้ออกมาโจมตีจีนว่า เม็ดเงินมูลค่า 2 พันล้านดอลลาร์ที่จีนอัดฉีดให้กับองค์การอนามัยโลก (WHO) เพื่อสนับสนุนการต่อสู้กับโควิด-19 นั้น เทียบกันไม่ได้กับหลายแสนชีวิตที่ต้องสูญเสียไปเนื่องจากการแพร่ระบาดของไวรัสดังกล่าว

-- สื่อต่างประเทศรายงานว่า คณะผู้นำจีนประกาศยกเลิกการกำหนดเป้าหมายการขยายตัวของผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) ประจำปี 2563 ในการประชุมสภาประชาชนแห่งชาติจีน (NPC) หรือ "ฉวนกั๋วเหรินต้า" ชุดที่ 13 ครั้งที่ 3 ซึ่งจัดขึ้นในวันนี้ เนื่องจากการแพร่ระบาดทั่วโลกของไวรัสโควิด-19 ทำให้สถานการณ์ทางเศรษฐกิจของจีนเผชิญกับความไม่แน่นอน

-- ธนาคารกลางญี่ปุ่น (BOJ) เริ่มการประชุมนโยบายการเงินฉุกเฉินแล้วในวันนี้ เพื่อหารือกันเกี่ยวกับการเดินหน้าอัดฉีดเงินเพื่อช่วยเหลือธุรกิจขนาดกลางและขนาดเล็กที่ได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19

สำนักข่าวเกียวโดรายงานว่า การประชุมฉุกเฉินของ BOJ ในวันนี้ อาจจะมุ่งเน้นเรื่องการใช้มาตรการใหม่ๆ เพื่อจัดหาเงินทุนให้กับสถาบันการเงินต่างๆ

นอกจากนี้ คาดว่าคณะกรรมการ BOJ จะคงนโยบายการเงินแบบผ่อนคลายเป็นพิเศษ ซึ่งรวมถึงการเข้าซื้อพันธบัตรรัฐบาลแบบไม่จำกัดจำนวน และคงเป้าหมายการซื้อหุ้นกู้ และตราสารหนี้ภาคเอกชนระยะสั้น (Commercial Paper) วงเงิน 20 ล้านล้านเยนจนถึงสิ้นเดือนก.ย.นี้

-- ธนาคารกลางแอฟริกาใต้ประกาศปรับลดอัตราดอกเบี้ย 0.50% สู่ระดับ 3.75% เมื่อวานนี้ ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดเป็นประวัติการณ์ เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจที่ได้รับผลกระทบจากมาตรการล็อกดาวน์ของรัฐบาลเพื่อสกัดการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19

-- นายสตีเวน มนูชิน รัฐมนตรีคลังสหรัฐ กล่าวว่า เขาเชื่อว่าเศรษฐกิจสหรัฐจะแตะจุดต่ำสุดในไตรมาส 2 และจะเริ่มฟื้นตัวขึ้นในไตรมาส 3 ก่อนที่จะพุ่งขึ้นอย่างมากในไตรมาส 4 "เมื่อเศรษฐกิจดีดตัวขึ้นจากระดับต่ำ เราก็จะพบว่ามันเป็นการปรับตัวเพิ่มขึ้นอย่างมาก ซึ่งผมคาดว่าเศรษฐกิจจะทะยานขึ้นอย่างมากในไตรมาส 4" นายมนูชินกล่าว

-- Worldometer ซึ่งเป็นเว็บไซต์รายงานข้อมูลล่าสุดที่มีการรวบรวมจากหน่วยงานด้านสาธารณสุขทั่วโลก ระบุว่า ยอดผู้ติดเชื้อไวรัสโควิด-19 ทั่วโลกขณะนี้อยู่ที่ 5,106,468 ราย และยอดผู้เสียชีวิตอยู่ที่ 330,015 ราย

สหรัฐมียอดผู้ติดเชื้อไวรัสโควิด-19 สูงสุดในโลก (1,593,297) รองลงมาคือรัสเซีย (317,554), บราซิล (293,357), สเปน (279,524), สหราชอาณาจักร (248,293) และอิตาลี (227,364)

นอกจากนี้ สหรัฐยังเป็นประเทศที่มีจำนวนผู้เสียชีวิตสูงสุดในโลก (94,948) ตามมาด้วยสหราชอาณาจักร (35,704), อิตาลี (32,330), ฝรั่งเศส (28,132) และสเปน (27,888)

-- กระทรวงสาธารณสุขสิงคโปร์เปิดเผยว่า ผู้ติดเชื้อไวรัสโควิด-19 รายใหม่มีจำนวน 448 รายในรอบ 24 ชั่วโมงที่ผ่านมา ส่งผลให้ขณะนี้สิงคโปร์มีจำนวนผู้ติดเชื้อไวรัสโควิด-19 สะสมรวม 29,812 ราย ซึ่งเป็นจำนวนสูงที่สุดในกลุ่มประเทศเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (อาเซียน)

ผู้ติดเชื้อไวรัสโควิด-19 ส่วนใหญ่ของสิงคโปร์เป็นแรงงานต่างด้าวที่อาศัยอยู่ในหอพัก โดยคิดเป็นสัดส่วนราว 90% ของจำนวนผู้ติดเชื้อทั้งหมด

นอกจากนี้ สิงคโปร์มีผู้เสียชีวิตจากโควิด-19 จำนวน 23 ราย แต่ต่ำกว่าอินโดนีเซีย ซึ่งมีผู้เสียชีวิตมากที่สุดในภูมิภาค จำนวน 1,278 ราย

-- สำหรับข้อมูลเศรษฐกิจสำคัญเมื่อคืนนี้ กระทรวงแรงงานสหรัฐเปิดเผยตัวเลขผู้ยื่นขอสวัสดิการว่างงานครั้งแรกจำนวน 2.44 ล้านรายในสัปดาห์ที่แล้ว โดยตัวเลขดังกล่าวสูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ที่ระดับ 2.40 ล้านราย

ทั้งนี้ ตัวเลขผู้ยื่นขอสวัสดิการว่างงานดังกล่าว บ่งชี้ว่าการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ได้ทำให้ชาวอเมริกันตกงานสูงถึง 38.6 ล้านรายนับตั้งแต่วันที่ 21 มี.ค.

อย่างไรก็ดี ตัวเลขผู้ยื่นขอสวัสดิการว่างงานที่มีการรายงานเมื่อคืนนี้ถือว่าต่ำที่สุดในช่วงเวลาดังกล่าว และมีการชะลอตัวติดต่อกันเป็นสัปดาห์ที่ 7 นับตั้งแต่พุ่งสูงเป็นประวัติการณ์แตะระดับ 6.9 ล้านรายในสัปดาห์ที่สิ้นสุดวันที่ 28 มี.ค.

ด้านสมาคมนายหน้าอสังหาริมทรัพย์แห่งชาติของสหรัฐ (NAR) เปิดเผยว่า ยอดขายบ้านมือสองลดลง 17.8% สู่ระดับ 4.33 ล้านยูนิตในเดือนเม.ย. ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดนับตั้งแต่เดือนก.ย.2554 และเมื่อเทียบรายปี ยอดขายบ้านมือสองร่วงลง 17.2% ในเดือนเม.ย. ขณะที่นักวิเคราะห์เตือนก่อนหน้านี้ว่ายอดขายบ้านจะดิ่งลงถึง 30-40% ในช่วงเดือนต่อๆไป โดยได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19

ไอเอชเอส มาร์กิต ซึ่งเป็นบริษัทให้บริการข้อมูลทางการเงิน เปิดเผยว่า ดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) รวมภาคการผลิตและภาคบริการเบื้องต้นของสหรัฐ ดีดตัวสู่ระดับ 36.4 ในเดือนพ.ค. ซึ่งเป็นระดับสูงสุดในรอบ 2 เดือน จากระดับ 27.0 ในเดือนเม.ย.

อย่างไรก็ดี ดัชนี PMI ยังคงอยู่ต่ำกว่าระดับ 50 ซึ่งบ่งชี้ว่า ภาคธุรกิจของสหรัฐยังคงอยู่ในภาวะหดตัว โดยถูกกดดันจากการที่กิจกรรมในภาคธุรกิจหยุดชะงักลง ขณะที่รัฐบาลออกมาตรการล็อกดาวน์เพื่อสกัดการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ซึ่งส่งผลกระทบต่อการจ้างงาน และคำสั่งซื้อใหม่ รวมทั้งความเชื่อมั่นของภาคธุรกิจ

Conference Board เปิดเผยว่า ดัชนีชี้นำเศรษฐกิจ Leading Economic Index (LEI) ร่วงลง 4.4% แตะระดับ 98.8 ในเดือนเม.ย. หลังจากดิ่งลง 6.7% ในเดือนมี.ค. ซึ่งเป็นการทรุดตัวลงหนักที่สุดในรอบ 60 ปีที่มีการรายงานตัวเลขดังกล่าว

นักวิเคราะห์คาดการณ์ก่อนหน้านี้ว่าดัชนี LEI จะดิ่งลง 5.0% ในเดือนเม.ย.

Conference Board ระบุว่า การทรุดตัวของดัชนี LEI สะท้อนถึงการหยุดชะงักของกิจกรรมในภาคธุรกิจ โดยได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 และบ่งชี้การหดตัวของเศรษฐกิจสหรัฐ


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ