สกุลเงินเยนของญี่ปุ่นอ่อนค่าลงอย่างต่อเนื่องเมื่อเทียบกับดอลลาร์สหรัฐ โดยล่าสุดดิ่งลงแตะระดับต่ำสุดในรอบ 20 ปีที่ระดับ 129 เยนต่อดอลลาร์ในช่วงเช้าวันนี้ ซึ่งเป็นการอ่อนค่าลงติดต่อกัน 14 วัน และทำสถิติอ่อนค่าลงต่อเนื่องติดต่อกันยาวนานที่สุดในรอบ 50 ปี
สำนักข่าวบลูมเบิร์กรายงานว่า ปัจจัยที่ทำให้เงินเยนอ่อนค่าลงอย่างมากนั้น มาจากการที่นักลงทุนให้ความสนใจเกี่ยวกับส่วนต่างของอัตราดอกเบี้ยระหว่างญี่ปุ่นและสหรัฐ หลังมีกระแสคาดการณ์เป็นวงกว้างว่า ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) จะเร่งปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเพื่อสกัดเงินเฟ้อที่พุ่งขึ้นแตะระดับสูงสุดในรอบ 40 ปี
บรรดานักลงทุนแห่ซื้อสกุลเงินดอลลาร์และเทขายเงินเยน หลังจากนายเจมส์ บูลลาร์ด ประธานเฟดสาขาเซนต์หลุยส์กล่าวว่า เฟดอาจต้องปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยมากถึง 0.75% จนแตะระดับ 3.5% ภายในสิ้นปีนี้เพื่อสกัดเงินเฟ้อ นายบูลลาร์ดกล่าวในการประชุมทางไกลซึ่งจัดโดยสภาวิเทศสัมพันธ์ของสหรัฐในวันจันทร์ (18 เม.ย.) ว่า อัตราเงินเฟ้อในสหรัฐขณะนี้อยู่ในระดับที่สูงเกินไป และมีความเป็นไปได้ที่เฟดจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยถึง 0.75% จนแตะระดับ 3.5% ภายในสิ้นปีนี้ โดยเขาเชื่อว่า เศรษฐกิจสหรัฐจะไม่เข้าสู่ภาวะถดถอย ขณะที่อัตราว่างงานซึ่งขณะนี้อยู่ที่ 3.6% ก็มีแนวโน้มที่จะลดลงสู่ระดับต่ำกว่า 3%
นักวิเคราะห์หลายราย ซึ่งรวมถึงนักวิเคราะห์จากบริษัทไดวา แอสเซท แมเนจเมนท์กล่าวว่า นักลงทุนกระหน่ำขายเงินเยนกันอย่างต่อเนื่อง เพราะคาดว่าธนาคารกลางญี่ปุ่น (BOJ) จะตรึงอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่ระดับต่ำต่อไป ซึ่งสวนทางกับเฟดที่ต้องการเร่งปรับขึ้นดอกเบี้ย
ขณะที่นักวิเคราะห์จากบริษัทบราวน์ บราเธอร์ส แฮร์รีแมน แอนด์ โคกล่าวว่า ตราบใดที่ BOJ ยังคงใช้นโยบายการเงินแบบผ่อนคลายเป็นพิเศษ (ultra-easy monetary policy) ต่อไป เงินเยนก็จะอ่อนค่าลงเรื่อย ๆ และการเข้าแทรกแซงตลาดของ BOJ ก็แทบจะไม่ได้ผล"
นายฮารุฮิโกะ คุโรดะ ผู้ว่าการ BOJ ได้แถลงในการประชุมรัฐสภาญี่ปุ่นเมื่อวันจันทร์ (18 เม.ย.) ว่า เงินเยนได้ทรุดตัวลงอย่างรวดเร็วเมื่อเทียบกับดอลลาร์สหรัฐ และเตือนว่าอาจส่งผลกระทบต่อการฟื้นตัวของเศรษฐกิจญี่ปุ่น
รายงานระบุว่า ทางการญี่ปุ่นได้เคยเข้าแทรกแซงตลาดครั้งหลังสุดด้วยการเทขายดอลลาร์และทุ่มซื้อเงินเยนในเดือนมิ.ย. 2541 ซึ่งเป็นปีที่เกิดวิกฤตการเงินในเอเชีย