สำนักข่าวซีเอ็นบีซีรายงานว่า กลุ่มบริษัทคริปโทเคอร์เรนซีกำลังเล่นเกมเดิมพันกับสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ของสหรัฐ (SEC) ด้วยการขู่ว่าจะถอนธุรกิจออกจากสหรัฐ หลัง SEC เพิ่มแรงกดดันต่ออุตสาหกรรมดังกล่าว เพื่อให้ปฏิบัติตามกฎระเบียบ
ทั้งนี้ กลุ่มบริษัทคริปโทฯรายใหญ่ต่างคาดหวังว่าท่าทีดังกล่าวของ SEC และสหรัฐจะเป็นเพียงคำขู่ และจะลดท่าทีเข้มงวดต่ออุตสาหกรรมคริปโทฯ
กลุ่มผู้บริหารบริษัทคริปโทฯหลายแห่ง เช่น คอยน์เบส (Coinbase) ซึ่งเป็นบริษัทซื้อขายคริปโทฯ และบริษัทริปเปิล (Ripple) บริษัทบริการบล็อกเชน ต่างออกมาวิพากษ์วิจารณ์ SEC พร้อมส่งสัญญาณว่ามีแผนที่จะย้ายธุรกิจไปยังต่างประเทศ โดยมีเป้าหมายที่จะส่งข้อความถึงบรรดานักการเมืองสหรัฐว่า สหรัฐอาจพลาดโอกาสในการสร้างนวัตกรรมเทคโนโลยีที่สำคัญ
นายไบรอัน อาร์มสตรอง ประธานเจ้าหน้าที่บริหารของคอยน์เบสระบุเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมาว่า SEC ได้เลือกเดินบนหนทางที่โดดเดี่ยว ด้วยการดำเนินการอย่างเข้มงวดต่อบริษัทคริปโทฯ พร้อมกล่าวเสริมว่า นายแกรี เกนสเลอร์ ประธาน SEC ได้แสดงทัศนะต่อต้านคริปโทฯ แม้ว่าเคยสนับสนุนอุตสาหกรรมดังกล่าวในสมัยที่เป็นอาจารย์สอนเศรษฐศาสตร์ที่สถาบันการจัดการสโลนของมหาวิทยาลัย MIT
"SEC ค่อนข้างทวนกระแส" นายอาร์มสตรองให้สัมภาษณ์ต่อสถานีโทรทัศน์ช่องซีเอ็นบีซี พร้อมระบุว่า "ผมไม่คิดว่านายเกนสเลอร์มีความจำเป็นที่จะต้องเข้ามาควบคุมอุตสาหกรรมคริปโทฯ แต่เขากำลังพยายามดำเนินคดีความ ซึ่งผมคิดว่าค่อนข้างเปล่าประโยชน์สำหรับอุตสาหกรรมคริปโทฯในสหรัฐ"
ขณะที่นายแบร์ด การ์ลิงเฮาส์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารของริปเปิลก็เป็นอีกคนที่ออกมาวิพากษ์วิจารณ์ SEC โดยเมื่อผู้สื่อข่าวขอให้ส่งข้อความถึงนายเกนสเลอร์ เขาก็ระบุว่า "บริษัทของเราเริ่มต้นขึ้นในสหรัฐและในฐานะพลเมืองสหรัฐ เรื่องนี้จึงน่าเศร้าทีเดียว" พร้อมกล่าวว่า ริปเปิลจะต้องใช้เงิน 200 ล้านดอลลาร์ในการสู้คดีที่ถูก SEC ฟ้องร้อง
อนึ่ง SEC มองว่า คริปโทฯส่วนใหญ่ในตลาดสหรัฐอาจเข้าข่ายเป็นหลักทรัพย์ ซึ่งจะต้องอยู่ภายใต้การดูแลด้านกฎระเบียบที่เข้มงวดมากขึ้น ทั้งในด้านการจดทะเบียนและการเปิดเผยข้อมูล แต่บริษัทคริปโทฯต่างไม่เห็นด้วยที่จะจัดให้สินทรัพย์ของพวกเขาเป็นหลักทรัพย์หรือให้บริการบนแพลตฟอร์มหลักทรัพย์