นักวิเคราะห์ของซิตี้กรุ๊ป (Citigroup) เปิดเผยในรายงานเมื่อวันพฤหัสบดี (19 มิ.ย.) ว่า การสู้รบระหว่างอิหร่านและอิสราเอลจะส่งผลให้ราคาน้ำมันเบรนท์พุ่งขึ้นอย่างต่อเนื่อง พร้อมกับคาดการณ์ว่าหากความขัดแย้งระหว่างสองประเทศทวีความรุนแรงมากขึ้นและส่งผลกระทบต่อการส่งออกน้ำมันของอิหร่านในปริมาณ 1.1 ล้านบาร์เรล/วัน ก็จะทำให้ราคาน้ำมันเบรนท์พุ่งขึ้นสูงกว่าระดับก่อนที่จะเกิดความขัดแย้งประมาณ 15-20%
ซิตี้กรุ๊ประบุว่า การคาดการณ์ดังกล่าวหมายความว่า หากการส่งออกน้ำมันของอิหร่านในปริมาณ 1.1 ล้านบาร์เรล/วันได้รับผลกระทบ ราคาน้ำมันเบรนท์ก็จะเคลื่อนไหวในช่วง 75-78 ดอลลาร์/บาร์เรล และหากการส่งออกน้ำมันในประมาณ 3 ล้านบาร์เรล/วันได้รับผลกระทบเป็นเวลานานหลายเดือน ราคาน้ำมันก็อาจพุ่งขึ้นแตะ 90 ดอลลาร์/บาร์เรล
ในเดือนพ.ค.ที่ผ่านมา ซึ่งเป็นช่วงก่อนที่จะเกิดการสู้รบทางอากาศระหว่างอิหร่านและอิสราเอลนั้น ราคาน้ำมันเบรนท์เคลื่อนไหวอยู่ที่ระดับ 65 ดอลลาร์/บาร์เรล
ขณะที่เจพีมอร์แกน (JPMorgan) ระบุว่า สถานการณ์ที่เลวร้ายที่สุดคือความขัดแย้งในตะวันออกกลางขยายวงกว้างขึ้นและนำไปสู่การปิดช่องแคบฮอร์มุซ ซึ่งคาดว่าจะส่งผลให้ราคาน้ำมันพุ่งขึ้นสูงถึง 120-130 ดอลลาร์/บาร์เรล
ทั้งนี้ ประมาณ 30% ของการส่งออกก๊าซธรรมชาติเหลว (LNG) ของโลก และประมาณ 20% ของการส่งออกน้ำมันและผลิตภัณฑ์ปิโตรเลียมทั่วโลก ล้วนต้องขนส่งผ่านช่องแคบฮอร์มุซ ขณะที่อิหร่านเคยขู่ว่าจะปิดช่องแคบฮอร์มุซหากมีภัยคุกคามต่อความมั่นคงของชาติ โดยอิหร่านเป็นผู้ผลิตน้ำมันรายใหญ่อันดับ 3 ในกลุ่มประเทศผู้ส่งออกน้ำมัน (โอเปก) โดยมีการผลิตน้ำมันดิบประมาณ 3.3 ล้านบาร์เรล/วัน
อย่างไรก็ดี ซิตี้กรุ๊ปมองว่า แม้การปิดช่องแคบฮอร์มุซจะทำให้ราคาน้ำมันพุ่งสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว แต่เชื่อว่าจะเป็นเพียงช่วงเวลาสั้น ๆ เนื่องจากอิหร่านอาจไม่ต้องการให้ช่องแคบแห่งนี้ปิดเป็นเวลานาน ซึ่งสอดคล้องกับที่ผู้เชี่ยวชาญจากบริษัทวอชิงตัน ไอวี แอดไวเซอร์ส (Washington Ivy Advisors) กล่าวว่า การที่ราคาน้ำมันพุ่งขึ้นจากการปิดช่องแคบฮอร์มุซอาจทำให้อิหร่านเผชิญแรงกดดันจากจีน ซึ่งเป็นลูกค้าน้ำมันรายใหญ่ที่สุดของอิหร่าน เนื่องจากจีนไม่ต้องการให้การส่งออกน้ำมันจากอ่าวเปอร์เซียถูกรบกวนในทุกกรณี และจีนก็ไม่ต้องการให้ราคาน้ำมันพุ่งสูงขึ้น ดังนั้นจึงคาดว่าจีนจะใช้อำนาจทางเศรษฐกิจกดดันอิหร่าน