ราฟาเอล มาริอาโน กรอสซี ผู้อำนวยการใหญ่ของทบวงการพลังงานปรมาณูระหว่างประเทศ (IAEA) กล่าวว่า พลังงานนิวเคลียร์จะมีบทบาทสำคัญในการตอบสนองความต้องการใช้ไฟฟ้าที่พุ่งสูงขึ้นทั่วโลก อันเป็นผลมาจากการขยายตัวของดาต้าเซ็นเตอร์ AI และการเปลี่ยนผ่านทางดิจิทัล
กรอสซีกล่าวปราศรัยผ่านวิดีโอในการประชุมสุดยอดซีอีโอเอเปค ซึ่งจัดขึ้นที่เกาหลีใต้ในวันนี้ (31 ต.ค.) ว่า การเติบโตอย่างรวดเร็วของ AI ส่งผลให้การใช้ไฟฟ้าพุ่งสูงขึ้นทั่วโลก ซึ่งก่อให้เกิดทั้งความท้าทายและโอกาสสำหรับพลังงานสะอาด
"ปัจจุบัน ดาต้าเซ็นเตอร์ใช้ไฟฟ้าคิดเป็นสัดส่วนถึง 1.5% ของไฟฟ้าทั้งหมดทั่วโลก และสัดส่วนดังกล่าวก็เพิ่มขึ้นกว่า 10% ทุกปี" เขากล่าว "Amazon, Microsoft, Google และ Meta ซึ่งเป็นบริษัทยักษ์ใหญ่ทั้งหมด ต่างลงนามข้อตกลงซื้อไฟฟ้า และกำลังสำรวจแนวทางในการนำพลังงานนิวเคลียร์มาใช้เพื่อขับเคลื่อนดาต้าเซ็นเตอร์ AI ของตนเอง"
กรอสซีระบุว่า ขณะนี้มีมากกว่า 20 ประเทศที่มุ่งมั่นเพิ่มกำลังการผลิตไฟฟ้าพลังงานนิวเคลียร์ทั่วโลกเป็นสามเท่าภายในกลางศตวรรษนี้ ขณะเดียวกัน ประเทศน้องใหม่อีกราว 30 ประเทศก็กำลังพัฒนาโครงการนิวเคลียร์สำหรับพลเรือนโดยได้รับความช่วยเหลือจาก IAEA
"มีการพัฒนาโครงการขั้นสูงมากมายในกลุ่มเอเปค ซึ่งรวมถึงการสร้างเตาปฏิกรณ์นิวเคลียร์แบบโมดูลาร์ขนาดเล็ก (SMR) และระบบรุ่นใหม่ ๆ" เขากล่าว "เทคโนโลยีเหล่านี้จะช่วยนำพลังงานนิวเคลียร์ไปสู่ภูมิภาคต่าง ๆ ได้อย่างยืดหยุ่นมากขึ้น พร้อมด้วยความปลอดภัยและประสิทธิภาพในระดับสูง"
นอกจากนี้ กรอสซียังเน้นย้ำว่า AI และพลังงานนิวเคลียร์สามารถ "เติบโตไปด้วยกัน" โดยกล่าวว่าทั้งสองภาคส่วนมีความเชื่อมโยงกัน เนื่องจากเศรษฐกิจมีความเป็นดิจิทัลมากขึ้น และการดำเนินการทางอุตสาหกรรมก็มีการใช้ไฟฟ้ามากขึ้น
"AI เป็นแรงขับเคลื่อนนวัตกรรม และพลังงานนิวเคลียร์ก็เป็นพลังสนับสนุน" เขากล่าว "โอกาสอยู่ตรงหน้าอย่างชัดเจน ความต้องการใช้ไฟฟ้าจะเพิ่มสูงขึ้น แรงกดดันด้านสภาพภูมิอากาศจะทวีความรุนแรงขึ้น และเทคโนโลยีจะก้าวหน้าอย่างรวดเร็ว เราจำเป็นต้องใช้พลังงานสะอาดจากทุกแหล่ง และพลังงานนิวเคลียร์คือส่วนสำคัญของสมการนี้"