สัญญาทองคำตลาดนิวยอร์กปิดบวกในวันพฤหัสบดี (7 ส.ค.) โดยได้แรงหนุนจากการที่นักลงทุนเข้าซื้อสินทรัพย์ปลอดภัย หลังจากมาตรการภาษีศุลกากรของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ เริ่มมีผลบังคับใช้ นอกจากนี้ การเปิดเผยข้อมูลแรงงานล่าสุดของสหรัฐฯ ยังเป็นปัจจัยสนับสนุนการคาดการณ์ที่ว่าธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) จะปรับลดอัตราดอกเบี้ย
ทั้งนี้ สัญญาทองคำตลาด COMEX (Commodity Exchange) ส่งมอบเดือนธ.ค. เพิ่มขึ้น 20.3 ดอลลาร์ หรือ 0.59% ปิดที่ 3,453.70 ดอลลาร์/ออนซ์
นักวิเคราะห์จากบริษัท Zaner Metals กล่าวว่า สถานการณ์ตึงเครียดด้านการค้าและภูมิรัฐศาสตร์เป็นปัจจัยหนุนแรงซื้อทองคำซึ่งเป็นสินทรัพย์ปลอดภัย โดยมาตรการภาษีศุลกากรตอบโต้ (Reciprocal tariffs) ของปธน.ทรัมป์เริ่มมีผลบังคับใช้แล้วในวันพฤหัสบดีที่ 7 ส.ค. ซึ่งจะส่งผลให้ประเทศคู่ค้าหลายสิบประเทศถูกเรียกเก็บภาษีในอัตราตั้งแต่ 10% ไปจนถึง 50% ทำให้อัตราภาษีนำเข้าของสหรัฐฯ พุ่งสูงที่สุดในรอบศตวรรษ
กระทรวงแรงงานสหรัฐฯ เปิดเผยตัวเลขผู้ยื่นขอสวัสดิการว่างงานครั้งแรก เพิ่มขึ้น 7,000 ราย สู่ระดับ 226,000 รายในสัปดาห์ที่แล้ว และสูงกว่าตัวเลขคาดการณ์ของนักวิเคราะห์ที่ระดับ 219,000 ราย
ทั้งนี้ หลังการเปิดเผยข้อมูลดังกล่าว นักลงทุนยังคงคาดการณ์ว่าธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) จะปรับลดอัตราดอกเบี้ยในการประชุมเดือนก.ย. ล่าสุด FedWatch Tool ของ CME Group บ่งชี้ว่า นักลงทุนให้น้ำหนัก 93.2% ที่เฟดจะปรับลดอัตราดอกเบี้ย 0.25% ในการประชุมเดือนก.ย.
สื่อรายงานว่า คริสโตเฟอร์ วอลเลอร์ สมาชิกคณะกรรมการผู้ว่าเฟด และเป็นสมาชิกถาวรของคณะกรรมการกำหนดนโยบายการเงินของเฟด (FOMC) ได้กลายเป็นผู้ที่มีแนวโน้มมากที่สุดที่จะได้รับการคัดเลือกให้เป็นประธานเฟดคนใหม่ โดยวอลเลอร์ได้พบกับคณะทำงานของปธน.ทรัมป์ ซึ่งต่างก็ประทับใจในตัวเขา แม้ว่าเขายังไม่ได้พบกับปธน.ทรัมป์โดยตรง