นักวิเคราะห์ระบุว่า ราคาทองจะยังคงดีดตัวขึ้นต่อไป หลังจากที่ราคาทองฟิวเจอร์พุ่งทะลุระดับ 3,500 ดอลลาร์ ทำสถิติสูงสุดเป็นประวัติการณ์ในวันนี้ หลังมีรายงานว่า สหรัฐได้ประกาศเรียกเก็บภาษีศุลกากรต่อการนำเข้าทองคำแท่งขนาด 1 กิโลกรัม
ณ เวลา 20.58 น.ตามเวลาไทย สัญญาทองคำตลาด COMEX (Commodity Exchange) ส่งมอบเดือนธ.ค. บวก 40.40 ดอลลาร์ หรือ 1.17% สู่ระดับ 3,494.10 ดอลลาร์/ออนซ์ หลังจากก่อนหน้านี้พุ่งแตะระดับ 3,534.10 ดอลลาร์/ออนซ์ ซึ่งเป็นระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์
ส่วนราคาทองสปอตบวก 11.34 ดอลลาร์ หรือ 0.33% สู่ระดับ 3,398.77 ดอลลาร์/ออนซ์
ทั้งนี้ ค่าสเปรด หรือส่วนต่างระหว่างราคาทองในตลาดฟิวเจอร์และตลาดสปอตได้ขยายกว้างเกินกว่า 100 ดอลลาร์ ตอบรับรายงานดังกล่าว
ส่วนต่างราคาที่ขยายกว้างในลักษณะนี้เคยเกิดขึ้นครั้งล่าสุดในช่วงการแพร่ระบาดของโควิด-19 ในปี 2563 อันเนื่องจากความล่าช้าในการขนส่งทองคำข้ามมหาสมุทรแอตแลนติก ซึ่งทำให้ตลาดทองคำเกิดความบิดเบือนในลักษณะเดียวกัน
หนังสือพิมพ์ไฟแนนเชียลไทมส์ (FT) รายงานวานนี้ โดยอ้างอิงจดหมายจากสำนักงานศุลกากรและป้องกันชายแดนสหรัฐ ระบุว่า สหรัฐได้เรียกเก็บภาษีศุลกากรสำหรับการนำเข้าทองคำแท่งน้ำหนัก 1 กิโลกรัมในอัตรา 39.6% จากเดิมที่การนำเข้าทองคำแท่งเพื่อการลงทุนถือเป็นสินค้าปลอดภาษี (0%)
การประกาศเรียกเก็บภาษีศุลกากรต่อการนำเข้าทองคำแท่งดังกล่าว มีสาเหตุจากการที่สำนักงานศุลกากรฯ ระบุให้ทองคำแท่งขนาด 1 กิโลกรัมและ 100 ออนซ์ถูกจัดให้อยู่ในหมวดรหัสศุลกากรที่ต้องเสียภาษีในอัตราที่สูงขึ้น
FT ระบุว่า มาตรการดังกล่าวจะส่งผลกระทบอย่างมากต่อสวิตเซอร์แลนด์ ซึ่งเป็นศูนย์กลางการหลอมทองคำที่ใหญ่ที่สุดในโลก
นายซาอิน วาวดา นักวิเคราะห์จาก MarketPulse กล่าวว่า "การเรียกเก็บภาษีดังกล่าวจะส่งผลกระทบต่อการค้าทองคำอย่างแน่นอน และสวิตเซอร์แลนด์จะเป็นประเทศที่ได้รับผลกระทบมากที่สุด โดยมาตรการนี้อาจทำให้เกิดปัญหาคอขวดด้านอุปทาน ซึ่งจะผลักดันให้ราคาทองคำสปอตดีดตัวขึ้นได้เช่นกัน"
ส่วนนายบ็อบ ฮาเบอร์คอร์น นักกลยุทธ์การตลาดอาวุโสจาก RJO Futures กล่าวว่า "ผมคิดว่าเราจะเห็นความต้องการถือทองในฐานะสินทรัพย์ปลอดภัยเพิ่มขึ้น ขณะเกิดความไม่แน่นอนเกี่ยวกับอุปทานทองคำในสหรัฐมากขึ้น"
นอกจากนี้ ราคาทองยังได้ปัจจัยบวกจากการที่สหรัฐเปิดเผยตัวเลขจ้างงานที่อ่อนแอ ซึ่งจะเป็นปัจจัยหนุนการปรับลดอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) โดยคาดว่าเฟดจะปรับลดอัตราดอกเบี้ยในการประชุม 3 ครั้งที่เหลือในปีนี้
ล่าสุด FedWatch Tool ของ CME Group บ่งชี้ว่า นักลงทุนให้น้ำหนัก 89.2% ที่เฟดจะปรับลดอัตราดอกเบี้ย 0.25% สู่ระดับ 4.00-4.25% ในการประชุมเดือนก.ย. หลังจากที่ให้น้ำหนักเพียง 63.1% เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว
นอกจากนี้ FedWatch Tool บ่งชี้ว่า นักลงทุนคาดว่าเฟดจะปรับลดอัตราดอกเบี้ย 0.25% สู่ระดับ 3.75-4.00% ในการประชุมเดือนต.ค. และปรับลดอัตราดอกเบี้ยอีก 0.25% สู่ระดับ 3.50-3.75% ในการประชุมเดือนธ.ค.