สัญญาทองคำตลาดนิวยอร์กปิดร่วงลงกว่า 2% ในวันศุกร์ (17 ต.ค.) หลังจากแตะระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์เหนือ 4,300 ดอลลาร์ต่อออนซ์ โดยได้รับแรงกดดันจากการแข็งค่าของดอลลาร์สหรัฐ และถ้อยแถลงของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ผู้นำสหรัฐฯ ที่ระบุว่าการเก็บภาษีสินค้าจีนในอัตรา 100% นั้นจะไม่สามารถดำเนินการได้ในระยะยาว
ทั้งนี้ สัญญาทองคำตลาด COMEX (Commodity Exchange) ส่งมอบเดือนธ.ค. ลดลง 91.30 ดอลลาร์ หรือ 2.12% ปิดที่ 4,213.30 ดอลลาร์/ออนซ์
ดัชนีดอลลาร์เพิ่มขึ้น 0.1% ทำให้ทองคำที่ซื้อขายในสกุลดอลลาร์มีราคาสูงขึ้นสำหรับนักลงทุนต่างชาติ
เทรดเดอร์รายหนึ่งให้ความเห็นว่า ท่าทีของทรัมป์ที่ดูอ่อนลงนับตั้งแต่มีการประกาศเก็บภาษี 100% ต่อจีนครั้งแรกนั้น ได้ลดแรงซื้อเก็งกำไรในตลาดทองคำลงบางส่วน
ทรัมป์ยืนยันในวันศุกร์ว่าจะพบกับผู้นำจีน ซึ่งช่วยคลายความกังวลของตลาดบางส่วนเกี่ยวกับความตึงเครียดทางการค้าที่ทวีความรุนแรงขึ้น
ทองคำซึ่งถือเป็นสินทรัพย์ป้องกันความเสี่ยงในช่วงที่มีความไม่แน่นอนนั้น ปรับตัวขึ้นกว่า 64% แล้วตั้งแต่ต้นปีนี้ โดยได้แรงหนุนจากความตึงเครียดทางภูมิรัฐศาสตร์, การเข้าซื้อทองคำของธนาคารกลาง, การโยกย้ายเงินทุนออกจากดอลลาร์ และกระแสเงินทุนไหลเข้ากองทุนทองคำ ETF อย่างแข็งแกร่ง รวมถึงการคาดการณ์ว่าธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) จะปรับลดอัตราดอกเบี้ย ซึ่งเป็นปัจจัยสนับสนุนสินทรัพย์ที่ไม่มีผลตอบแทนในรูปดอกเบี้ยอย่างทองคำ
Standard Chartered Bank คาดว่า ราคาทองคำจะเฉลี่ยอยู่ที่ 4,488 ดอลลาร์ต่อออนซ์ในปี 2569 และมองว่ายังมีโอกาสที่ราคาจะปรับขึ้นได้อีก จากปัจจัยโครงสร้างในวงกว้างที่ยังคงหนุนตลาดทองคำ
ตลาดกำลังคาดการณ์ว่า ธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) จะลดอัตราดอกเบี้ยลง 0.25% ในการประชุมเดือนต.ค. และอีกครั้งในเดือนธ.ค.
ขณะเดียวกัน HSBC ได้ปรับเพิ่มคาดการณ์ราคาทองคำเฉลี่ยปีนี้ขึ้นอีก 100 ดอลลาร์ เป็น 3,455 ดอลลาร์ต่อออนซ์ และประเมินว่าราคาทองคำอาจแตะระดับ 5,000 ดอลลาร์ต่อออนซ์ในปี 2569
ทั้งนี้ ความต้องการทองคำแท่งในเอเชียยังคงแข็งแกร่ง แม้ราคาทำสถิติสูงสุดใหม่ โดยอินเดียมีการเก็งกำไรและค่าพรีเมียมสูงสุดในรอบทศวรรษก่อนเข้าสู่ช่วงเทศกาลสำคัญ