ราคาทองสปอตและฟิวเจอร์ทรุดตัวลงกว่า 100 ดอลลาร์ ใกล้หลุดระดับ 4,200 ดอลลาร์ ขณะที่นักลงทุนพากันเทขายทำกำไร หลังราคาพุ่งขึ้นทำสถิติสูงสุดเป็นประวัติการณ์ก่อนหน้านี้
ณ เวลา 19.41 น.ตามเวลาไทย ราคาทองสปอต ลบ 117.80 ดอลลาร์ หรือ 2.71% สู่ระดับ 4,224.55 ดอลลาร์/ออนซ์
ส่วนสัญญาทองคำตลาด COMEX (Commodity Exchange) ส่งมอบเดือนธ.ค. ลบ 119.00 ดอลลาร์ หรือ 2.73% สู่ระดับ 4,240.40 ดอลลาร์/ออนซ์
นอกจากนี้ นักลงทุนเทขายทองในฐานะสินทรัพย์ปลอดภัย หลังคลายความวิตกเกี่ยวกับการปิดหน่วยงานรัฐบาล หรือชัตดาวน์ รวมทั้งการทำสงครามการค้าระหว่างสหรัฐและจีน
ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์แสดงความเห็นในเชิงบวกต่อความเป็นไปได้ของการบรรลุข้อตกลงการค้ากับจีน ก่อนการพบปะกับ ประธานาธิบดีสี จิ้นผิง ผู้นำจีน นอกรอบการประชุมสุดยอดกลุ่มความร่วมมือทางเศรษฐกิจเอเชีย-แปซิฟิก หรือเอเปก (APEC) ที่เมืองคยองจู ประเทศเกาหลีใต้ ในปลายเดือนนี้
นอกจากนี้ นายสก็อตต์ เบสเซนต์ รัฐมนตรีคลังสหรัฐ กล่าวว่า เขาคิดว่า "สถานการณ์กับจีนได้ผ่อนคลายลงแล้ว" โดยเขาจะพบกับนายเหอ ลี่เฟิง รองนายกรัฐมนตรีจีน ในสัปดาห์หน้า
ถ้อยแถลงของปธน.ทรัมป์และนายเบสเซนต์ทำให้นักลงทุนมองว่า การที่สหรัฐขู่เรียกเก็บภาษีศุลกากร 100% ต่อสินค้านำเข้าจีนที่มีกำหนดเริ่มต้นวันที่ 1 พ.ย. อาจจะไม่เกิดขึ้น
ด้านนายเควิน แฮสเซ็ตต์ ที่ปรึกษาฝ่ายเศรษฐกิจประจำทำเนียบขาว กล่าวว่า การปิดหน่วยงานรัฐบาล หรือ government shutdown มีแนวโน้มสิ้นสุดลงในสัปดาห์นี้ แต่หากยังไม่เกิดขึ้น รัฐบาลของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์อาจใช้มาตรการที่เข้มงวดขึ้น เพื่อบังคับให้พรรคเดโมแครตให้ความร่วมมือ
'ขณะนี้ มีโอกาสที่ทุกอย่างจะจบลงอย่างรวดเร็วในสัปดาห์นี้ ฝ่ายเดโมแครตสายกลางจะก้าวไปข้างหน้า และทำให้รัฐบาลกลับมาเปิดทำการอีกครั้ง จากนั้นเราจะสามารถเจรจานโยบายต่าง ๆ ตามขั้นตอนปกติ'
'ผมคิดว่าการชัตดาวน์ที่มีสาเหตุจากนายชัค ชูเมอร์ (แกนนำพรรคเดโมแครตในวุฒิสภา) มีแนวโน้มจะสิ้นสุดลงในสัปดาห์นี้' นายแฮสเซ็ตต์กล่าวต่อสำนักข่าว CNBC
อย่างไรก็ดี เขากล่าวเสริมว่า 'หากผลการเจรจาไม่ประสบความสำเร็จ ผมคิดว่าทำเนียบขาวจะต้องพิจารณาอย่างรอบคอบร่วมกับนายรัสเซล โวจ หัวหน้าฝ่ายงบประมาณของทำเนียบขาว ถึงมาตรการเข้มงวดที่เราจะนำมาใช้เพื่อดึงพวกเขากลับเข้าสู่โต๊ะเจรจา'
นอกจากนี้ นักลงทุนจับตาการเปิดเผยตัวเลขดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) ประจำเดือนก.ย. ในวันศุกร์ที่ 24 ต.ค. ก่อนที่ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) จะจัดการประชุมนโยบายการเงินในวันที่ 28-29 ต.ค.