ราคาทองฟิวเจอร์ดิ่งหนักกว่า 1% วิตกดอลล์แข็ง,บอนด์ยิลด์พุ่ง

ข่าวเศรษฐกิจ Monday January 29, 2018 23:56 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

ราคาทองฟิวเจอร์ดิ่งลงอย่างหนักในวันนี้ จากการแข็งค่าของดอลลาร์ และการพุ่งขึ้นของอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐ ส่งผลให้นักลงทุนเทขายทำกำไร หลังราคาทองดีดตัวขึ้นเป็นเวลา 6 สัปดาห์ในช่วง 7 สัปดาห์ที่ผ่านมา

ณ เวลา 23.29 น.ตามเวลาไทย สัญญาทองคำตลาด COMEX (Commodity Exchange) ส่งมอบเดือนก.พ. ซึ่งมีการซื้อขายทางระบบอิเลกทรอนิกส์ ร่วงลง 15.20 ดอลลาร์ หรือ 1.12% สู่ระดับ 1,336.90 ดอลลาร์/ออนซ์

ดอลลาร์ที่แข็งค่าขึ้น จะลดความน่าดึงดูดของทอง โดยทำให้สัญญาทองมีราคาแพงขึ้นสำหรับผู้ถือครองเงินสกุลอื่น

ณ เวลา 23.50 น.ตามเวลาไทย ดัชนีดอลลาร์ ซึ่งเป็นดัชนีวัดความเคลื่อนไหวของดอลลาร์เมื่อเทียบกับสกุลเงินหลัก 6 สกุลในตะกร้าเงิน บวก 0.58% สู่ระดับ 89.58

นักลงทุนวิตกเกี่ยวกับอัตราดอกเบี้ยที่พุ่งขึ้น หลังอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐทะยานขึ้นอย่างมากในวันนี้ จากการคาดการณ์ว่าเศรษฐกิจสหรัฐมีการขยายตัวที่แข็งแกร่ง และเงินเฟ้อจะดีดตัวขึ้น

ทั้งนี้ อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลประเภทอายุ 10 ปี พุ่งขึ้นสู่ระดับ 2.716% ซึ่งเป็นระดับสูงสุดนับตั้งแต่เดือนเม.ย.2557 หลังจากที่แตะระดับ 2.430% ในช่วงสิ้นปีที่แล้ว

ส่วนอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลประเภทอายุ 30 ปี ดีดตัวขึ้นสู่ระดับ 2.954% ในวันนี้

การอ่อนค่าของดอลลาร์ในเดือนนี้ ช่วยหนุนอัตราผลตอบแทนพันธบัตรดีดตัวขึ้น ขณะที่นักลงทุนวิตกว่าจะเป็นปัจจัยลดอุปสงค์พันธบัตร ขณะที่กระตุ้นเงินเฟ้อ

นักวิเคราะห์คาดการณ์ว่า การที่อัตราผลตอบแทนพันธบัตรประเภทอายุ 10 ปี พุ่งทะลุระดับ 2.7% ในวันนี้ จะเป็นการปูทางไปสู่ระดับ 2.8% ต่อไป ขณะที่อัตราผลตอบแทนพันธบัตรประเภทอายุ 30 ปี มีแนวโน้มดีดตัวสู่ระดับ 3.0%

ตลาดการเงินเพิ่มการคาดการณ์ที่ว่า ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) จะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย 4 ครั้งในปีนี้ จากการคาดการณ์การดีดตัวขึ้นของอัตราเงินเฟ้อ และเศรษฐกิจสหรัฐที่มีการขยายตัวมากขึ้น

CME Group ระบุว่า จากการใช้เครื่องมือ FedWatch วิเคราะห์ภาวะการซื้อขายสัญญาล่วงหน้าอัตราดอกเบี้ยสหรัฐ พบว่า นักลงทุนคาดการณ์ว่ามีโอกาส 26% ที่เฟดจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย 4 ครั้งในปีนี้ โดยเพิ่มขึ้นจากระดับ 23% ในวันศุกร์ และ 10% ในเดือนที่แล้ว

ทางด้านกระทรวงพาณิชย์สหรัฐเปิดเผยว่า ดัชนีราคาการใช้จ่ายเพื่อการบริโภคส่วนบุคคล (PCE) พื้นฐาน ซึ่งไม่นับรวมหมวดอาหารและพลังงาน และเป็นมาตรวัดอัตราเงินเฟ้อที่ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ให้ความสำคัญ เพิ่มขึ้น 0.2% ในเดือนธ.ค. หลังจากที่เพิ่มขึ้น 0.1% ในเดือนพ.ย.

เมื่อเทียบรายปี ดัชนี PCE พื้นฐานเพิ่มขึ้น 1.5% ในเดือนธ.ค. หลังจากที่เพิ่มขึ้น 1.5% เช่นกันในเดือนพ.ย.

นอกจากนี้ นักลงทุนยังซื้อขายอย่างระมัดระวัง ก่อนที่ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ มีกำหนดแถลงนโยบายประจำปี (State of the Union) ต่อสภาคองเกรสในวันที่ 30 ม.ค.เวลา 21.00 น.ตามเวลาสหรัฐ หรือตรงกับช่วงเช้าของวันที่ 31 ม.ค.เวลา 09.00 น.ตามเวลาไทย

ทั้งนี้ การแถลงนโยบายประจำปีของปธน.ทรัมป์ในครั้งนี้ นับเป็นครั้งแรกหลังจากที่เขาเข้ารับตำแหน่งในปีที่แล้ว โดยจะมีการถ่ายทอดสดทางโทรทัศน์ต่อชาวสหรัฐทั่วประเทศ ขณะที่สำนักข่าว CNN ก็จะมีการถ่ายทอดสดไปทั่วโลก

หัวข้อการกล่าวสุนทรพจน์ต่อสภาคองเกรสของปธน.ทรัมป์คือ "การสร้างอเมริกาที่ปลอดภัย แข็งแกร่ง และน่าภาคภูมิใจ" โดยจะเน้นหนักใน 5 ประเด็นหลัก ซึ่งได้แก่ การจ้างงานและเศรษฐกิจ, การก่อสร้างโครงการพื้นฐานของประเทศ, นโยบายเกี่ยวกับผู้อพยพ, การค้า และความมั่นคงแห่งชาติ

ทั้งนี้ คาดว่าปธน.ทรัมป์จะเกริ่นนำด้วยการกล่าวถึงความสำเร็จในการบริหารประเทศของเขาในปีที่ผ่านมา ซึ่งทำให้เศรษฐกิจสหรัฐมีการขยายตัวที่แข็งแกร่ง ขณะตลาดหุ้นทะยานขึ้น โดยได้รับแรงหนุนจากการผลักดันจากมาตรการปรับลดภาษี และการปรับลดกฎระเบียบต่างๆ

นอกจากนี้ ปธน.ทรัมป์จะเปิดเผยโครงการลงทุนในสาธารณูปโภคครั้งใหญ่เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจสหรัฐตามที่เขาได้เคยรณรงค์หาเสียงในปี 2559 โดยคาดว่า โครงการลงทุนในสาธารณูปโภคจะมีวงเงิน 2 แสนล้านดอลลาร์ ซึ่งจะแบ่งออกเป็น 4 กองทุนในช่วงเวลา 10 ปี

ขณะเดียวกัน มีรายงานว่า รัฐบาลสหรัฐกำลังจัดทำแผนการลงทุนวงเงิน 1.35 ล้านล้านดอลลาร์ ซึ่งจะให้รัฐบาลของมลรัฐ และภาคเอกชนเข้าสนับสนุนเงินทุนในการสร้างและซ่อมสะพาน, ทางหลวง และสาธารณูปโภคทั่วประเทศ


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ