สัญญาทองคำตลาดนิวยอร์กปิดลดลงเล็กน้อยเมื่อคืนนี้ (8 มิ.ย.) โดยได้ปัจจัยหนุนจากการแข็งค่าของสกุลเงินดอลลาร์ อย่างไรก็ตาม ความกังวลเกี่ยวกับความขัดแย้งเรื่องนโยบายการค้าระหว่างสหรัฐกับชาติพันธมิตรช่วยพยุงราคาทองไม่ให้ร่วงลงมาก
สัญญาทองคำตลาด COMEX (Commodity Exchange) ส่งมอบเดือนส.ค. ลดลง 30 เซนต์ หรือ 0.02% ปิดที่ 1,302.70 ดอลลาร์/ออนซ์ ขณะที่ทั้งสัปดาห์ ราคาทองปรับตัวขึ้นราว 0.3%
สัญญาโลหะเงินส่งมอบเดือนก.ค. ลดลง 7.4 เซนต์ หรือ 0.4% ปิดที่ 16.741 ดอลลาร์/ออนซ์
สัญญาพลาตินัมส่งมอบเดือนก.ค. ดีดขึ้น 5.4 ดอลลาร์ หรือ 0.6% ปิดที่ 905.70 ดอลลาร์/ออนซ์
สัญญาพัลลาเดียมส่งมอบเดือนก.ย. ลดลง 2.4 ดอลลาร์ หรือ 0.4% ปิดที่ 1,009.60 ดอลลาร์/ออนซ์
สัญญาทองคำถูกกดดันจากสกุลเงินดอลลาร์ที่แข็งค่าขึ้น โดยดัชนีดอลลาร์ ซึ่งเป็นดัชนีวัดความเคลื่อนไหวของดอลลาร์เมื่อเทียบกับสกุลเงินหลัก 6 สกุลในตะกร้าเงิน ปรับตัวขึ้น 0.19% แตะระดับ 93.555 เมื่อคืนนี้
ทั้งนี้ โดยปกติแล้ว ราคาทองและดอลลาร์จะเคลื่อนไหวไปในทิศทางตรงข้ามกัน คือเมื่อดอลลาร์แข็งค่าขึ้น ราคาทองก็จะลดลง เนื่องจากดอลลาร์ที่แข็งค่าทำให้ทองคำ ซึ่งกำหนดราคาในรูปของสกุลเงินดอลลาร์ มีราคาแพงขึ้นสำหรับนักลงทุนที่ถือครองสกุลเงินอื่นๆ
อย่างไรก็ดี ความกังวลเกี่ยวกับความขัดแย้งด้านการค้าระหว่างสหรัฐกับชาติพันธมิตร อย่างแคนาดาและสหภาพยุโรป ก่อนที่การประชุมสุดยอด G7 จะมีขึ้นในวันศุกร์และวันเสาร์นี้ ได้ช่วยสกัดการปรับตัวลงของราคาทอง
นักลงทุนจับตาการประชุมผู้นำกลุ่มประเทศอุตสาหกรรม 7 ประเทศ ที่แคนาดาในช่วงสุดสัปดาห์นี้ ซึ่งมีการคาดการณ์กันว่า สหรัฐจะถูกสมาชิกรายอื่นโจมตีเกี่ยวกับการเรียกเก็บภาษีเหล็กและอลูมิเนียมในสัปดาห์ที่แล้ว
นายกรัฐมนตรีจัสติน ทรูโด ของแคนาดา กล่าวถึงการใช้มาตรการตอบโต้การเรียกเก็บภาษีดังกล่าวของสหรัฐว่า ถึงแม้เป็นเรื่องน่าเสียใจ แต่แคนาดาก็จำเป็นต้องทำ ขณะที่ประธานาธิบดีเอมมานูเอล มาครอง ของฝรั่งเศส ได้ทวีตข้อความว่า "หกประเทศใน G7 มีตลาดรวมกันใหญ่กว่าตลาดของสหรัฐ เราในฐานะชาติพันธมิตรไม่สามารถทำสงครามการค้าต่อกันได้"
ทั้งนี้ สมาชิก G7 ประกอบด้วยแคนาดา ฝรั่งเศส เยอรมนี อิตาลี ญี่ปุ่น อังกฤษ และสหรัฐ
สถานการณ์ตึงเครียดทางด้านภูมิรัฐศาสตร์มักจะเป็นปัจจัยบวกต่อตลาดทองคำ โดยนักลงทุนจะซื้อสินทรัพย์ปลอดภัยอย่างเช่นทอง เมื่อเกิดเหตุการณ์ตึงเครียดทางการเมือง
สำหรับในสัปดาห์หน้ามีเหตุการณ์สำคัญที่นักลงทุนจับตาหลายเหตุการณ์ ไม่ว่าจะเป็นการประชุมนโยบายการเงินของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ในวันที่ 12-13 มิ.ย., การประชุมธนาคารกลางยุโรป (ECB) ในวันที่ 14 มิ.ย. รวมไปถึงการประชุมสุดยอดครั้งประวัติศาสตร์ระหว่างประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ และนายคิม จอง อึน ผู้นำเกาหลีเหนือ ที่จะมีขึ้นในวันที่ 12 มิ.ย.ที่สิงคโปร์