ราคาทองฟิวเจอร์พุ่งเกือบ 2% ใกล้แตะ 1,540 ดอลลาร์ สวนทางหุ้นตก

ข่าวเศรษฐกิจ Friday August 23, 2019 23:03 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

ราคาทองฟิวเจอร์พุ่งขึ้นเกือบ 2% ในวันนี้ ใกล้แตะระดับ 1,540 ดอลลาร์ ขณะที่นักลงทุนพากันเข้าซื้อทองในฐานะสินทรัพย์ปลอดภัย ท่ามกลางความกังวลเกี่ยวกับการขยายตัวของเศรษฐกิจโลก หลังจากที่จีนประกาศทำสงครามการค้ารอบใหม่กับสหรัฐ

นอกจากนี้ ราคาทองยังได้แรงหนุนจากความปั่นป่วนที่เกิดขึ้น หลังจากประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์สั่งให้บริษัทสหรัฐรีบถอนตัวออกจากจีนโดยทันที

ณ เวลา 22.53 น.ตามเวลาไทย สัญญาทองคำตลาด COMEX (Commodity Exchange) ส่งมอบเดือนธ.ค. ดีดตัวขึ้น 27.50 ดอลลาร์ หรือ 1.82% สู่ระดับ 1,536.00 ดอลลาร์/ออนซ์

ทางด้านดัชนีดาวโจนส์ร่วงลงอย่างต่อเนื่องในวันนี้ ล่าสุดทรุดตัวลงกว่า 400 จุด หลุดระดับ 26,000 จุด หลังจากที่ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์สั่งให้บริษัทสหรัฐรีบถอนตัวออกจากจีน เพื่อกลับมาผลิตสินค้าในสหรัฐ นอกจากนี้ บรรยากาศในตลาดยังถูกกดดันจากการที่จีนประกาศตอบโต้สหรัฐในวันนี้ ด้วยการเรียกเก็บภาษีสินค้า 7.5 หมื่นล้านดอลลาร์ รวมทั้งรถยนต์สหรัฐ

ทั้งนี้ ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ทวีตข้อความในวันนี้ ระบุว่า เขาได้สั่งให้บริษัทสหรัฐรีบถอนตัวออกจากจีนโดยทันที เพื่อหาแหล่งผลิตใหม่ โดยให้กลับมาผลิตสินค้าในสหรัฐ

นอกจากนี้ ปธน.ทรัมป์ยังสั่งให้บริษัทรับส่งพัสดุภัณฑ์ทั้งหมดของสหรัฐ ซึ่งรวมถึง FedEx, UPS, อเมซอน และสำนักงานไปรษณีย์สหรัฐ ปฏิเสธการส่งยา Fentanyl (ยาบรรเทาอาการปวด และมีความแรง 50-100 เท่าของมอร์ฟีน) จากประเทศจีน หรือจากประเทศอื่นๆ

ทางด้านจีนประกาศเก็บภาษีต่อสินค้านำเข้าจากสหรัฐวงเงิน 7.5 หมื่นล้านดอลลาร์ รวมทั้งเดินหน้าเก็บภาษีต่อรถยนต์สหรัฐ

ทั้งนี้ สภาแห่งรัฐของจีน ซึ่งเป็นคณะรัฐมนตรีจีน แถลงว่า จีนจะเรียกเก็บภาษี 5-10% ต่อสินค้านำเข้าจากสหรัฐวงเงิน 7.5 หมื่นล้านดอลลาร์ ในการเก็บภาษี 2 รอบ โดยจะมีผลบังคับใช้ในวันที่ 1 ก.ย. และ 15 ธ.ค.

นอกจากนี้ จีนจะเรียกเก็บภาษี 25% ต่อรถยนต์นำเข้าจากสหรัฐ และเก็บภาษี 5% ต่อชิ้นส่วนรถยนต์สหรัฐ โดยจะมีผลบังคับใช้ในวันที่ 15 ธ.ค.

มาตรการตอบโต้ดังกล่าว มีขึ้นหลังจากที่ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ขู่ที่จะเรียกเก็บภาษี 10% ต่อสินค้านำเข้าจากจีน วงเงิน 3 แสนล้านดอลลาร์ โดยมีผลในวันที่ 1 ก.ย. แม้ว่าต่อมาปธน.ทรัมป์ตัดสินใจชะลอการขึ้นภาษีสินค้าจีนบางส่วนออกไปเป็นวันที่ 15 ธ.ค. เนื่องจากไม่ต้องการให้เกิดผลกระทบต่อการจับจ่ายใช้สอยของชาวสหรัฐในช่วงเทศกาลคริสต์มาส


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ