สัญญาทองคำตลาดนิวยอร์กปิดบวกเมื่อคืนนี้ (17 ม.ค.) แต่ขยับขึ้นเพียงเล็กน้อยในรอบสัปดาห์นี้ เนื่องจากการพุ่งขึ้นทำนิวไฮของตลาดหุ้นสหรัฐได้ลดความน่าดึงดูดใจของทองในฐานะสินทรัพย์ปลอดภัย
สัญญาทองคำตลาด COMEX (Commodity Exchange) ส่งมอบเดือนก.พ. เพิ่มขึ้น 9.80 ดอลลาร์ หรือ 0.63% ปิดที่ 1,560.30 ดอลลาร์/ออนซ์ และในรอบสัปาดห์นี้ ราคาทองปรับตัวขึ้นเพียง 20 เซนต์
สัญญาโลหะเงินส่งมอบเดือนมี.ค. เพิ่มขึ้น 13.4 เซนต์ หรือ 0.75% ปิดที่ 18.073 ดอลลาร์/ออนซ์
สัญญาพลาตินัมส่งมอบเดือนเม.ย. พุ่งขึ้น 23.60 ดอลลาร์ หรือ 2.36% ปิดที่ 1,024.80 ดอลลาร์/ออนซ์
สัญญาพัลลาเดียมส่งมอบเดือนมี.ค. พุ่งขึ้น 47.10 ดอลลาร์ หรือ 2.2% ปิดที่ 2,224.90 ดอลลาร์/ออนซ์
สัญญาทองคำปรับตัวขึ้นไม่มากนัก เนื่องจากทองซึ่งเป็นสินทรัพย์ปลอดภัยมีความน่าดึงดูดใจน้อยลง ขณะที่ดัชนีดาวโจนส์, S&P500 และ Nasdaq แตะระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ในสัปดาห์นี้ โดยได้แรงหนุนจากการที่สหรัฐและจีนลงนามข้อตกลงการค้าเฟสแรกแล้วเมื่อวันพุธที่ผ่านมา ซึ่งปัจจัยบวกดังกล่าวได้ช่วยหนุนความต้องการลงทุนในสินทรัพย์เสี่ยงเพิ่มขึ้น มากกว่าการลงทุนในทอง
นักวิเคราะห์คาดว่า ราคาทองจะปรับตัวขึ้นได้ไม่มากนักในระยะสั้น แต่นักลงทุนบางรายก็ได้เข้าซื้อทองเพื่อป้องกันความเสี่ยงจากกรณีที่ตลาดหุ้นปรับฐานลงอย่างรุนแรง
นอกจากนี้ การเปิดเผยข้อมูลเศรษฐกิจที่แข็งแกร่งของสหรัฐและจีนเป็นอีกปัจจัยที่ทำให้นักลงทุนลดความต้องการถือครองทองคำ โดยกระทรวงพาณิชย์สหรัฐเปิดเผยว่า ตัวเลขการเริ่มต้นสร้างบ้านพุ่งขึ้น 16.9% ในเดือนธ.ค. เมื่อเทียบรายเดือน สู่ระดับ 1.608 ล้านยูนิต ซึ่งเป็นระดับสูงสุดนับตั้งแต่เดือนธ.ค.2549 และเพิ่มขึ้นในอัตราสูงสุดนับตั้งแต่เดือนต.ค.2559 จากระดับ 1.375 ล้านยูนิตในเดือนพ.ย. โดยได้ปัจจัยหนุนจากอัตราดอกเบี้ยเงินกู้จำนองในระดับต่ำ
ส่วนสำนักงานสถิติแห่งชาติจีน (NBS) เปิดเผยว่า ผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) ขยายตัว 6.1% ในปีที่แล้ว ซึ่งสอดคล้องกับตัวเลขคาดการณ์ของนักวิเคราะห์ ขณะที่การผลิตภาคอุตสาหกรรมมีการขยายตัวมากกว่าคาด