ภาวะการซื้อขายในตลาดสินค้าโภคภัณฑ์ CBOT ในวันพุธ (4 มิ.ย.) สัญญาข้าวสาลีของสหรัฐฯ ดีดตัวขึ้นกว่า 1% โดยได้รับแรงหนุนหลักจากความขัดแย้งระหว่างยูเครนกับรัสเซียที่ทวีความรุนแรงขึ้น ซึ่งสร้างความกังวลต่อสถานการณ์การค้าธัญพืชในแถบทะเลดำ หลังจากยูเครนยกระดับการโจมตีเป้าหมายในรัสเซีย และประธานาธิบดีวลาดิเมียร์ ปูติน ของรัสเซีย ได้แจ้งต่อประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ของสหรัฐฯ ถึงความจำเป็นในการตอบโต้
ทั้งนี้ สัญญาข้าวโพดส่งมอบเดือนก.ค. เพิ่มขึ้น 0.25 เซนต์ หรือ +0.06% ปิดที่ 4.3875 ดอลลาร์/บุชเชล, สัญญาข้าวสาลีส่งมอบเดือนก.ค. เพิ่มขึ้น 7.25 เซนต์ หรือ +1.35% ปิดที่ 5.4325 ดอลลาร์/บุชเชล และสัญญาถั่วเหลืองส่งมอบเดือนก.ค. เพิ่มขึ้น 4.25 เซนต์ หรือ +0.41% ปิดที่ 10.4500 ดอลลาร์/บุชเชล
นอกจากนี้ ความกังวลเรื่องภัยแล้งและอากาศร้อนจัดในแหล่งเพาะปลูกข้าวสาลีสำคัญของจีน (มณฑลส่านซีและเหอหนาน) ที่อาจกระทบผลผลิต ก็เป็นอีกปัจจัยสำคัญ แม้ยังไม่ชัดเจนว่าจีนจะต้องนำเข้าเพิ่มหรือไม่ เนื่องจากมีสต๊อกในประเทศจำนวนมาก ปัจจัยเหล่านี้กระตุ้นให้นักลงทุนและกองทุนสินค้าโภคภัณฑ์ที่ถือครองสถานะขายชอร์ตสุทธิ (net short position) จำนวนมาก เร่งซื้อคืนเพื่อปิดสถานะ (short-covering)
ด้านสัญญาข้าวโพดและถั่วเหลืองปรับตัวขึ้นตาม โดยได้แรงหนุนจากนักลงทุนเข้าช้อนซื้อ หลังจากราคาข้าวโพดดิ่งแตะจุดต่ำสุดในรอบหลายเดือน และราคาถั่วเหลืองแตะจุดต่ำสุดในรอบ 7 สัปดาห์เมื่อต้นสัปดาห์ อย่างไรก็ตาม การปรับขึ้นเป็นไปอย่างจำกัด เนื่องจากสภาพอากาศในแถบมิดเวสต์ซึ่งเป็นแหล่งเพาะปลูกหลักของสหรัฐฯ ยังคงเอื้ออำนวย และฤดูเพาะปลูกใกล้สิ้นสุดแล้ว
ปัจจัยหนุนตลาดโดยรวมอีกประการคือการอ่อนค่าของเงินดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งตามทฤษฎีทำให้ธัญพืชสหรัฐฯ น่าดึงดูดใจมากขึ้นสำหรับผู้ซื้อที่ใช้สกุลเงินอื่น
สำหรับประเด็นการค้าที่น่าจับตามองนั้น ทำเนียบขาวเปิดเผยเมื่อวันจันทร์ (2 มิ.ย.) ว่า ปธน.ทรัมป์และปธน.สี จิ้นผิง ของจีน มีกำหนดหารือกันในสัปดาห์นี้ ซึ่งสร้างความหวังเกี่ยวกับการเจรจาทางการค้า ขณะเดียวกัน มีรายงานว่าบริษัทในเวียดนามหลายแห่งได้ลงนาม MOU เพื่อซื้อสินค้าเกษตรของสหรัฐฯ มูลค่า 2 พันล้านดอลลาร์ ซึ่งรวมถึงข้าวโพด ข้าวสาลี และกากถั่วเหลือง