ภาวะการซื้อขายในตลาดสินค้าโภคภัณฑ์ CBOT ในวันพุธ (19 พ.ย.) สัญญาถั่วเหลืองร่วงลงหลังจากทะยานแตะระดับสูงสุดนับตั้งแต่เดือนมิ.ย. 2567 ในช่วงก่อนหน้า เนื่องจากนักลงทุนเทขายทำกำไรและจับตาดูท่าทีว่าจีนจะเข้าซื้อสินค้าเกษตรล็อตใหญ่ต่อเนื่องหรือไม่ ภายหลังการสงบศึกทางการค้าระหว่างสหรัฐฯ กับจีน
ทั้งนี้ สัญญาข้าวโพดส่งมอบเดือนมี.ค. ลดลง 8.00 เซนต์ หรือ -1.78% ปิดที่ 4.4150 ดอลลาร์/บุชเชล, สัญญาข้าวสาลีส่งมอบเดือนมี.ค. ลดลง 9.50 เซนต์ หรือ -1.70% ปิดที่ 5.4950 ดอลลาร์/บุชเชล และสัญญาถั่วเหลืองส่งมอบเดือนม.ค. ลดลง 17.25 เซนต์ หรือ -1.50% ปิดที่ 11.3625 ดอลลาร์/บุชเชล
ก่อนหน้านี้ รัฐบาลสหรัฐฯ ระบุว่าจีนจะซื้อถั่วเหลือง 12 ล้านตันภายในสิ้นปีนี้ ต่อมา มีรายงานข่าวว่า COFCO ซึ่งเป็นรัฐวิสาหกิจด้านธัญพืชของจีน ได้เข้าซื้อถั่วเหลืองสหรัฐฯ ราว 840,000 เมตริกตัน สำหรับส่งมอบในเดือนธ.ค.และม.ค. ซึ่งถือเป็นการสั่งซื้อครั้งใหญ่ที่สุดนับตั้งแต่เดือนม.ค. และมีนัยสำคัญที่สุดนับตั้งแต่การประชุมสุดยอดระหว่างประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ กับประธานาธิบดีสี จิ้นผิง เมื่อช่วงปลายเดือนต.ค.
ข่าว COFCO ดังกล่าวส่งผลให้สัญญาถั่วเหลืองขึ้นแรงเมื่อวันจันทร์ (17 พ.ย.) และพุ่งทำสถิติสูงสุดในรอบ 17 เดือน ที่ระดับ 11.695 ดอลลาร์/บุชเชล ในวันอังคาร (18 พ.ย.)
อย่างไรก็ดี แม้กระทรวงเกษตรสหรัฐฯ (USDA) ยืนยันว่าจีนได้ซื้อถั่วเหลืองสหรัฐฯ จำนวน 792,000 ตันเมื่อวันอังคาร และรายงานยอดขายเพิ่มอีก 330,000 ตันในวันพุธ แต่กลุ่มเทรดเดอร์ให้ความเห็นว่า ตลาดได้รับรู้ข่าวดีดังกล่าวไปแล้ว
นอกจากนี้ ยอดคำสั่งซื้อล่าสุดยังคงต่ำกว่าเป้าหมาย 12 ล้านตันอยู่มาก ทำให้นักวิเคราะห์กังขาว่าจีนจะทำตามข้อตกลงได้ทันกำหนดเวลาหรือไม่ ส่งผลให้สัญญาถั่วเหลืองพลิกปิดตลาดเข้าแดนลบในวันอังคาร และปิดลบต่อเนื่องอีกในวันพุธ
นักวิเคราะห์ระบุว่า แรงเทขายจากเกษตรกรและการขายทำกำไรของนักลงทุนเป็นปัจจัยกดดันตลาด ขณะที่เทรดเดอร์ในสิงคโปร์มองว่าตลาดอยู่ในภาวะที่มีแรงซื้อมากเกินไป (Overbought) ในช่วงสั้น ๆ
ทางด้านสัญญาข้าวสาลีและข้าวโพดปรับตัวลดลงเช่นกัน โดยปัจจัยกดดันในตลาดข้าวสาลีมาจากอุปทานโลกที่ยังคงล้นตลาด นอกจากนี้ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเศรษฐกิจของยูเครนยังเปิดเผยว่า ยูเครนจะไม่จำกัดการส่งออกข้าวสาลีในปีการผลิต 2568/2569 เนื่องจากมีผลผลิตเพิ่มขึ้น