สัญญาน้ำมันดิบเวสต์เท็กซัส (WTI) ตลาดนิวยอร์กปิดลบในวันพฤหัสบดี (12 มิ.ย.) เนื่องจากนักลงทุนเทขายทำกำไรหลังจากราคาน้ำมันพุ่งขึ้นกว่า 4% ในวันพุธ อันเนื่องมาจากความกังวลว่าสถานการณ์ตึงเครียดในตะวันออกกลางจะส่งผลให้เกิดภาวะชะงักงันด้านอุปทาน
ทั้งนี้ สัญญาน้ำมันดิบ WTI ส่งมอบเดือนก.ค. ลดลง 11 เซนต์ หรือ 0.16% ปิดที่ 68.04 ดอลลาร์/บาร์เรล
ส่วนสัญญาน้ำมันดิบเบรนท์ (BRENT) ส่งมอบเดือนส.ค. ลดลง 41 เซนต์ หรือ 0.59% ปิดที่ 69.36 ดอลลาร์/บาร์เรล
เมื่อวันพุธที่ผ่านมา ราคาน้ำมัน WTI ทะยานขึ้น 4.88% หลังจากมีรายงานว่าสหรัฐฯ ได้อพยพบุคลากรออกจากตะวันออกกลางซึ่งรวมถึงอิรัก อันเนื่องมาจากความกังวลเกี่ยวกับความปลอดภัย หลังจากเจ้าหน้าที่อิหร่านขู่ว่า อิหร่านจะโจมตีฐานทัพสหรัฐฯ ในตะวันออกกลาง หากการเจรจานิวเคลียร์ล้มเหลว
รายงานระบุว่า อิสราเอลเตรียมใช้ปฏิบัติการทางทหารโจมตีอิหร่านในอีกไม่กี่วันข้างหน้า หากการเจรจานิวเคลียร์ระหว่างอิหร่านและสหรัฐฯ ประสบความล้มเหลว
โอมานประกาศว่า การเจรจาว่าด้วยโครงการนิวเคลียร์รอบที่ 6 ระหว่างอิหร่านและสหรัฐฯ มีกำหนดจัดขึ้นในวันอาทิตย์ที่ 15 มิ.ย.ที่กรุงมัสกัต เมืองหลวงของโอมาน โดยสตีฟ วิตคอฟฟ์ ตัวแทนพิเศษของปธน.ทรัมป์จะเข้าเจรจากับเจ้าหน้าที่ของอิหร่าน
ขณะนี้ ยังคงไม่มีสัญญาณชัดเจนว่าทั้งสองฝ่ายจะสามารถบรรลุข้อตกลง ขณะที่ปธน.ทรัมป์ยืนยันว่า สหรัฐจะไม่ยอมให้อิหร่านเสริมสมรรถนะแร่ยูเรเนียม ส่วนอิหร่านยืนกรานว่าจะเดินหน้าโครงการเสริมสมรรถนะแร่ยูเรเนียม ภายใต้การกำกับดูแลของสำนักงานพลังงานปรมาณูระหว่างประเทศ (IAEA)
ทางด้านหน่วยงานทางทะเลของสหราชอาณาจักรเตือนว่า ความตึงเครียดที่เพิ่มขึ้นในตะวันออกกลางอาจทำให้การเผชิญหน้าทางทหารทวีความรุนแรงขึ้น และส่งผลกระทบต่อการเดินเรือในเส้นทางน้ำที่สำคัญ
นักวิเคราะห์จากบริษัท Global Risk Management กล่าวว่า สำหรับตลาดน้ำมันแล้ว สิ่งที่เลวร้ายที่สุดคือการปิดช่องแคบฮอร์มุซ โดยหากอิหร่านปิดช่องแคบแห่งนี้ ก็อาจส่งผลกระทบต่อการไหลของน้ำมันทั่วโลกได้มากถึง 20% ทางด้านเจพีมอร์แกนคาดการณ์ว่า ราคาน้ำมันอาจพุ่งสูงถึง 120-130 ดอลลาร์/บาร์เรล หากมีการปิดช่องแคบฮอร์มุซ