ราคาน้ำมัน WTI พุ่งขึ้นกว่า 6% ทะลุระดับ 72 ดอลลาร์ หลังอิสราเอลเปิดฉากโจมตีทางอากาศครั้งใหญ่ต่ออิหร่าน ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อการขนส่งน้ำมันจากตะวันออกกลาง
ณ เวลา 00.12 น.ตามเวลาไทย ราคาน้ำมันดิบเวสต์เท็กซัส (WTI) ส่งมอบเดือนก.ค. บวก 4.16 ดอลลาร์ หรือ 6.11% สู่ระดับ 72.20 ดอลลาร์/บาร์เรล
ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ผู้นำสหรัฐ เรียกร้องให้อิหร่านบรรลุข้อตกลงนิวเคลียร์ "ก่อนที่จะไม่มีอะไรเหลือ"
ปธน.ทรัมป์เตือนอิหร่านดังกล่าว เพียงไม่กี่ชั่วโมงหลังจากอิสราเอลทำการโจมตีอิหร่าน
ทั้งนี้ อิสราเอลระบุว่าการโจมตีครั้งนี้มีเป้าหมายที่โครงการนิวเคลียร์ของอิหร่าน ขณะที่สหรัฐยืนยันว่า ได้รับแจ้งจากอิสราเอลเกี่ยวกับการโจมตีในครั้งนี้ แต่สหรัฐไม่มีส่วนร่วมในปฏิบัติการดังกล่าวแต่อย่างใดขณะเดียวกัน
สำนักงานพลังงานสากล (IEA) ซึ่งก่อตั้งขึ้นเพื่อรับมือภาวะฉุกเฉินด้านพลังงานทั่วโลก เปิดเผยว่า IEA กำลังจับตาสถานการณ์สงครามระหว่างอิสราเอลและอิหร่าน โดย IEA พร้อมระบายน้ำมันสำรองเข้าสู่ตลาด หากมีความจำเป็น
"IEA กำลังติดตามผลกระทบต่อตลาดน้ำมันจากความตึงเครียดระหว่างอิสราเอลกับอิหร่านอย่างใกล้ชิด โดยปัจจุบันตลาดยังคงมีปริมาณน้ำมันอย่างเพียงพอ แต่เราก็พร้อมที่จะดำเนินการหากจำเป็น" นายฟาติห์ บิโรล ผู้อำนวยการ IEA กล่าว
ทั้งนี้ IEA มีปริมาณน้ำมันสำรองฉุกเฉินอยู่ราว 1.2 พันล้านบาร์เรล ขณะที่อิหร่านมีกำลังการผลิตน้ำมัน 3.305 ล้านบาร์เรล/วัน
นางเอลเลน วาลด์ ผู้ร่วมก่อตั้ง Washington Ivy Advisors กล่าวว่า การโจมตีของอิสราเอลต่ออิหร่านในครั้งนี้ ไม่ได้ส่งผลกระทบต่อปริมาณน้ำมันในตลาด เนื่องจากอิสราเอลไม่ได้พุ่งเป้าโจมตีแหล่งผลิตน้ำมันหรือส่งออกน้ำมันของอิหร่าน ซึ่งทำให้อิหร่านยังคงสามารถส่งออกน้ำมันในตลาด
"ดิฉันไม่คิดว่าสถานการณ์ตอนนี้จะรุนแรงเหมือนตอนที่รัสเซียบุกยูเครน มันไม่ใช่ภัยคุกคามที่สำคัญขนาดนั้นต่ออุปทานน้ำมัน" นางวาลด์กล่าว
นอกจากนี้ นางวาลด์กล่าวว่า หากอิหร่านทำการตอบโต้ด้วยการปิดช่องแคบฮอร์มุซเพื่อพยายามขัดขวางการขนส่งน้ำมัน เรือน้ำมันก็ยังสามารถเบี่ยงเส้นทางเข้าสู่น่านน้ำของสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์และโอมานได้
"แม้จะเกิดความวุ่นวายขึ้นในระยะแรก แต่สิ่งนี้ก็คงจะไม่ยืดเยื้อมากนัก"
นางวาลด์ยังเตือนด้วยว่า การที่ราคาน้ำมันพุ่งขึ้นจากการปิดช่องแคบฮอร์มุซ อาจทำให้อิหร่านเผชิญแรงกดดันจากจีน ซึ่งเป็นลูกค้าน้ำมันรายใหญ่ที่สุดของอิหร่าน
"จีนไม่ต้องการให้กระแสการส่งออกน้ำมันจากอ่าวเปอร์เซียถูกรบกวนในทุกกรณี และจีนก็ไม่ต้องการให้ราคาน้ำมันพุ่งสูงขึ้น ดังนั้นพวกเขาจะใช้อำนาจทางเศรษฐกิจกดดันอิหร่าน" นางวาลด์กล่าว