สัญญาน้ำมันดิบเวสต์เท็กซัส (WTI) ตลาดนิวยอร์กปิดลบในวันจันทร์ (16 มิ.ย.) หลังจากมีรายงานว่าอิหร่านกำลังพยายามยุติการเป็นปรปักษ์กับอิสราเอล ซึ่งส่งสัญญาณถึงความเป็นไปได้ที่จะมีการทำข้อตกลงหยุดยิง โดยความเคลื่อนไหวดังกล่าวทำให้นักลงทุนคลายความกังวลเกี่ยวกับการหยุดชะงักของอุปทานน้ำมันดิบจากตะวันออกกลาง
ทั้งนี้ สัญญาน้ำมันดิบ WTI ส่งมอบเดือนก.ค. ลดลง 1.21 ดอลลาร์ หรือ 1.66% ปิดที่ 71.77 ดอลลาร์/บาร์เรล
ส่วนสัญญาน้ำมันดิบเบรนท์ (BRENT) ส่งมอบเดือนส.ค. ลดลง 1 ดอลลาร์ หรือ 1.35% ปิดที่ 73.23 ดอลลาร์/บาร์เรล
ราคาน้ำมัน WTI ปรับตัวลงหลังจากสื่อรายงานว่า อิหร่านพร้อมกลับมาเจรจาข้อตกลงนิวเคลียร์กับสหรัฐฯ หากอิสราเอลยุติการโจมตีอิหร่าน โดยสำนักข่าวรอยเตอร์รายงานโดยอ้างแหล่งข่าวว่า อิหร่านได้เรียกร้องให้กาตาร์ ซาอุดีอาระเบีย และโอมาน พยายามกดดันให้ประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ใช้อิทธิพลของเขาเพื่อให้อิสราเอลทำข้อตกลงหยุดยิงกับอิหร่านในทันที นอกจากนี้ อิหร่านยังยื่นข้อเสนอว่าจะใช้ความยืดหยุ่นมากขึ้นในการเจรจาข้อตกลงนิวเคลียร์เพื่อแลกกับการหยุดยิง
ขณะที่หนังสือพิมพ์วอลล์สตรีท เจอร์นัลรายงานโดยอ้างแหล่งข่าวว่า เจ้าหน้าที่อิหร่านได้ส่งสัญญาณอย่างเร่งด่วนว่าต้องการยุติการสู้รบกับอิสราเอล และกลับสู่การเจรจาโครงการนิวเคลียร์อีกครั้ง โดยอิหร่านได้ส่งข้อความดังกล่าวไปยังอิสราเอลและสหรัฐฯ ผ่านทางตัวกลางที่เป็นชาติอาหรับ
เมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา (13 มิ.ย.) ราคาน้ำมัน WTI พุ่งขึ้นกว่า 7% หลังจากอิสราเอลและอิหร่านโจมตีทางอากาศโต้ตอบกัน ซึ่งทำให้นักลงทุนวิตกกังวลว่าความขัดแย้งดังกล่าวอาจส่งผลกระทบต่อการส่งออกน้ำมันจากตะวันออกกลาง
นักวิเคราะห์จากบริษัท Mizuho กล่าวว่า นักลงทุนได้ลดการคาดการณ์ที่ว่าการสู้รบระหว่างอิหร่านและอิสราเอลจะลุกลามเป็นวงกว้างและส่งผลกระทบต่อโครงสร้างพื้นฐานด้านพลังงาน พร้อมกับกล่าวว่า นับจนถึงขณะนี้อิสราเอลยังไม่ได้แตะต้องเกาะคาร์ก (Kharg Island) ซึ่งเป็นศูนย์กลางการส่งออกน้ำมันของอิหร่าน แต่หากมีการโจมตีเกาะแห่งนี้ ก็อาจส่งผลให้ราคาน้ำมันพุ่งขึ้นแตะระดับ 90 ดอลลาร์/บาร์เรล
นักลงทุนจับตารายงานสต็อกน้ำมันดิบจากสถาบันปิโตรเลียมอเมริกา (API) ในวันนี้ ก่อนที่สำนักงานสารสนเทศด้านพลังงานสหรัฐ (EIA) จะเปิดเผยตัวเลขสต็อกน้ำมันดิบอย่างเป็นทางการในวันพุธ