สัญญาน้ำมันดิบเวสต์เท็กซัส (WTI) ตลาดนิวยอร์กปิดปรับตัวลงในวันศุกร์ (20 มิ.ย.) หลังจากสหรัฐฯ ประกาศมาตรการคว่ำบาตรเพิ่มเติมที่เกี่ยวข้องกับอิหร่าน ซึ่งสะท้อนท่าทีทางการทูตที่ช่วยเพิ่มความหวังต่อการบรรลุข้อตกลงผ่านการเจรจา หนึ่งวันหลังจากที่ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ระบุว่า เขาอาจใช้เวลา 2 สัปดาห์ในการตัดสินใจว่า สหรัฐฯ จะเข้าร่วมในการทำสงครามระหว่างอิสราเอลและอิหร่านหรือไม่
ทั้งนี้ สัญญาน้ำมันดิบ WTI ส่งมอบเดือนก.ค. ลดลง 21 เซนต์ หรือ 0.28% ปิดที่ 74.93 ดอลลาร์/บาร์เรล
ส่วนสัญญาน้ำมันดิบเบรนท์ (BRENT) ส่งมอบเดือนส.ค. เพิ่มขึ้น 31 เซนต์ หรือ 0.40% ปิดที่ 77.01 ดอลลาร์/บาร์เรล
ในรอบสัปดาห์นี้ สัญญาน้ำมันดิบ WTI ปรับตัวขึ้น 2.7% และสัญญาน้ำมันดิบเบรนท์เพิ่มขึ้น 3.6%
รัฐบาลทรัมป์ออกมาตรการคว่ำบาตรครั้งใหม่ต่ออิหร่าน ซึ่งรวมถึงการคว่ำบาตรหน่วยงานสองแห่งที่ตั้งอยู่ในฮ่องกง รวมถึงมาตรการคว่ำบาตรที่เกี่ยวข้องกับการต่อต้านการก่อการร้าย ตามที่ประกาศบนเว็บไซต์ของกระทรวงการคลังสหรัฐฯ
สำนักงานควบคุมทรัพย์สินต่างประเทศของกระทรวงการคลังสหรัฐฯ (OFAC) ระบุว่า มาตรการครั้งนี้มีเป้าหมายคว่ำบาตรหน่วยงานอย่างน้อย 20 แห่ง บุคคล 5 ราย และเรืออีก 3 ลำ
นักวิเคราะห์รายหนึ่งกล่าวว่า มาตรการคว่ำบาตรมีผลทั้งสองทาง โดยอาจเป็นส่วนหนึ่งของแนวทางการเจรจาที่กว้างขึ้นต่ออิหร่าน และการที่สหรัฐฯ ใช้แนวทางนี้ก็เป็นสัญญาณว่า สหรัฐฯ พยายามหาทางออกโดยไม่ใช้ความรุนแรง
ราคาน้ำมันพุ่งขึ้นเกือบ 3% ในวันพฤหัสบดี หลังอิสราเอลถล่มเป้าหมายด้านนิวเคลียร์ในอิหร่าน ขณะที่อิหร่านซึ่งเป็นผู้ผลิตน้ำมันรายใหญ่อันดับสามของกลุ่มโอเปก (OPEC) ได้ยิงขีปนาวุธและโดรนใส่อิสราเอล โดยทั้งสองฝ่ายยังไม่มีทีท่าว่าจะยุติการโจมตี แม้สงครามดำเนินมากว่าหนึ่งสัปดาห์
อย่างไรก็ตาม ราคาน้ำมันดิบเบรนท์ปรับตัวลงหลังทำเนียบขาวระบุว่า ทรัมป์จะตัดสินใจเรื่องการมีส่วนร่วมของสหรัฐฯ กับความขัดแย้งในตะวันออกกลางภายในสองสัปดาห์ข้างหน้า
นักวิเคราะห์อีกรายระบุว่า แม้ความขัดแย้งจะยังไม่ลุกลามอย่างรุนแรง แต่ความเสี่ยงต่ออุปทานน้ำมันในภูมิภาคยังคงสูง โดยขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของสหรัฐฯ
เอกอัครราชทูตอิสราเอลประจำสหประชาชาติระบุว่า อิสราเอลต้องการเห็นความพยายามที่แท้จริงในการจัดการกับขีดความสามารถนิวเคลียร์ของอิหร่านจากการประชุมระหว่างรัฐมนตรีของยุโรปและอิหร่านในวันศุกร์ ไม่ใช่แค่เพียงการเจรจาอีกรอบ
นักวิเคราะห์อีกรายให้ความเห็นว่า ในขณะที่อิสราเอลและอิหร่านยังคงโจมตีกันอย่างต่อเนื่อง ก็มีความเสี่ยงที่อาจเกิดเหตุการณ์ไม่คาดคิดซึ่งอาจทำให้ความขัดแย้งลุกลามและส่งผลกระทบต่อโครงสร้างพื้นฐานด้านน้ำมัน
ที่ผ่านมาอิหร่านเคยขู่จะปิดช่องแคบฮอร์มุซ ซึ่งเป็นเส้นทางหลักในการส่งออกน้ำมันจากตะวันออกกลาง
อย่างไรก็ตาม นักวิเคราะห์จาก UBS ระบุว่า จนถึงขณะนี้การส่งออกน้ำมันยังไม่ถูกกระทบ และยังไม่มีปัญหาด้านอุปทาน พร้อมเสริมว่า ทิศทางราคาน้ำมันต่อจากนี้จะขึ้นอยู่กับว่า จะมีเหตุการณ์ที่ส่งผลกระทบต่อการส่งออกหรือไม่
นักวิเคราะห์รายหนึ่งกล่าวเสริมว่า หากความขัดแย้งลุกลามจนถึงขั้นที่อิสราเอลโจมตีโครงสร้างพื้นฐานด้านการส่งออกน้ำมัน หรืออิหร่านปิดช่องแคบฮอร์มุซ ก็อาจทำให้ราคาน้ำมันพุ่งถึง 100 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล
ในอีกด้านหนึ่งนั้น สหภาพยุโรป (EU) ได้ยกเลิกข้อเสนอที่จะปรับลดเพดานราคาน้ำมันรัสเซียลงเหลือ 45 ดอลลาร์
ขณะเดียวกัน บริษัทด้านบริการพลังงาน เบเกอร์ ฮิวจ์ส (Baker Hughes) เปิดเผยว่า บริษัทพลังงานในสหรัฐฯ ได้ปรับลดจำนวนแท่นขุดเจาะน้ำมันและก๊าซธรรมชาติลงต่อเนื่องเป็นสัปดาห์ที่ 8 ติดต่อกันเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่เดือนก.ย. 2566
จำนวนแท่นขุดเจาะซึ่งเป็นตัวชี้วัดเบื้องต้นของผลผลิตในอนาคต ลดลง 1 แท่น เหลือ 554 แท่นในสัปดาห์ที่สิ้นสุดวันที่ 20 มิ.ย. ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดนับตั้งแต่เดือนพ.ย. 2564