สัญญาน้ำมันดิบเวสต์เท็กซัส (WTI) ตลาดนิวยอร์กปิดบวกในวันจันทร์ (25 ส.ค.) ซึ่งเป็นการปรับตัวขึ้นต่อเนื่องจากสัปดาห์ที่แล้ว โดยได้แรงหนุนจากการคาดการณ์ที่ว่าสหรัฐฯ จะออกมาตรการคว่ำบาตรเพิ่มเติมต่อรัสเซีย รวมทั้งข่าวยูเครนโจมตีโครงสร้างพื้นฐานด้านพลังงานของรัสเซีย ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่ออุปทานน้ำมัน
ทั้งนี้ สัญญาน้ำมันดิบ WTI ส่งมอบเดือนต.ค. เพิ่มขึ้น 1.14 ดอลลาร์ หรือ 1.79% ปิดที่ 64.80 ดอลลาร์/บาร์เรล
ส่วนสัญญาน้ำมันดิบเบรนท์ (BRENT) ส่งมอบเดือนต.ค. เพิ่มขึ้น 1.07 ดอลลาร์ หรือ 1.58% ปิดที่ 68.80 ดอลลาร์/บาร์เรล
นักวิเคราะห์อาวุโสจาก Price Futures Group กล่าวว่า แม้ขณะนี้สหรัฐฯ กำลังพยายามเป็นตัวกลางในการเจรจาสันติภาพระหว่างยูเครนและรัสเซีย เพื่อยุติสงครามที่ยืดเยื้อมานานกว่า 3 ปี แต่ดูเหมือนว่าการเจรจาสันติภาพจะยืดเยื้อ และสหรัฐฯ อาจใช้มาตรการคว่ำบาตรต่อรัสเซีย หากการเจรจาไม่เป็นไปในทางที่ดี
ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ได้เน้นย้ำเมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมาว่า เขาจะใช้มาตรการคว่ำบาตรต่อรัสเซีย หากไม่มีความคืบหน้าในการทำข้อตกลงสันติภาพกับยูเครนภายในสองสัปดาห์ นอกจากนี้ เขายังกล่าวว่าสหรัฐฯ อาจใช้มาตรการภาษีที่รุนแรงกับอินเดีย จากการที่อินเดียซื้อน้ำมันจากรัสเซีย
ราคาน้ำมันยังปรับตัวขึ้นหลังจากมีรายงานว่า ยูเครนได้ใช้โดรนโจมตีโครงสร้างพื้นฐานด้านพลังงานของรัสเซียเมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมา ส่งผลให้เกิดเพลิงลุกไหม้ท่าเรือส่งออกน้ำมัน Ust-Luga นอกจากนี้ ได้เกิดเพลิงไหม้ที่โรงกลั่นน้ำมัน Novoshakhtinsk ของรัสเซีย ซึ่งเกิดจากการโจมตีของโดรนยูเครนเช่นกัน
ทั้งนี้ โรงกลั่นน้ำมัน Novoshakhtinsk มีกำลังการผลิต 5 ล้านตันต่อปี หรือประมาณ 100,000 บาร์เรลต่อวัน และส่วนใหญ่จะเป็นการผลิตเพื่อการส่งออก
นักลงทุนจับตาการประชุมของสมาชิก 8 ชาติของกลุ่มประเทศผู้ส่งออกน้ำมัน (โอเปก) และชาติพันธมิตร หรือโอเปกพลัส ได้แก่ ซาอุดีอาระเบีย รัสเซีย สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ คูเวต โอมาน อิรัก คาซัคสถาน และแอลจีเรีย ในวันอาทิตย์ที่ 7 ก.ย.เพื่อพิจารณาเพิ่มกำลังการผลิตน้ำมันในเดือนต.ค.