สัญญาน้ำมันดิบเวสต์เท็กซัส (WTI) ตลาดนิวยอร์กปิดร่วงลงขึ้นเมื่อคืนนี้ (9 ก.ย.) หลังจากที่มีการเปิดเผยข้อมูลจำนวนแท่นขุดเจาะน้ำมันที่เพิ่มขึ้น ซึ่งทำให้คาดว่าผลผลิตน้ำมันดิบจะเพิ่มสูงขึ้น นอกจากนี้ ราคาน้ำมันดิบยังถูกกดดันจากดอลลาร์ที่แข็งค่าขึ้นด้วย
สัญญาน้ำมันดิบ WTI ส่งมอบเดือนต.ค.ลดลง 1.74 ดอลลาร์ หรือ 3.65% ปิดที่ 45.88 ดอลลาร์/บาร์เรล ขณะที่ตลอดสัปดาห์ สัญญาน้ำมันดิบเพิ่มขึ้น 3.2%
สัญญาน้ำมันดิบเบรนท์ส่งมอบเดือนพ.ย.ลดลง 1.98 ดอลลาร์ หรือ 3.96% ปิดที่ 48.01 ดอลลาร์/บาร์เรล อย่างไรก็ดี สัญญาปรับตัวขึ้นราว 2.5% ในรอบสัปดาห์
เบเกอร์ ฮิวจ์ ซึ่งเป็นผู้ให้บริการข้อมูลเกี่ยวกับอุตสาหกรรมน้ำมันสหรัฐ เปิดเผยว่า จำนวนแท่นขุดเจาะน้ำมันที่ใช้งานในสหรัฐเพิ่มขึ้น 7 แท่นในสัปดาห์นี้ สู่ระดับ 414 แท่น ซึ่งเป็นการเพิ่มขึ้นสัปดาห์ที่ 10 ในรอบ 11 สัปดาห์
ทั้งนี้ จำนวนแท่นขุดเจาะน้ำมันที่เพิ่มขึ้น ทำให้คาดว่าอุปทานน้ำมันจะเพิ่มสูงขึ้น ซึ่งเป็นปัจจัยถ่วงราคาน้ำมัน
เมื่อวันพฤหัสบดี ราคาน้ำมันดิบ ทั้ง WTI และเบรนท์ ทะยานขึ้นถึงกว่า 4% หลังจากสำนักงานสารสนเทศด้านการพลังงานของรัฐบาลสหรัฐ (EIA) เปิดเผยว่า สต็อกน้ำมันดิบร่วงลงอย่างหนักในสัปดาห์ที่ผ่านมา โดย EIA ระบุว่า สต็อกน้ำมันดิบของสหรัฐลดลง 14.5 ล้านบาร์เรลในสัปดาห์ที่แล้ว เทียบกับที่นักวิเคราะห์คาดว่าเพิ่มขึ้น 225,000 บาร์เรล
ข้อมูลของ EIA มีความสอดคล้องกับรายงานของสถาบันปิโตรเลียมอเมริกัน (API) ซึ่งระบุว่า สต็อกน้ำมันดิบของสหรัฐลดลง 12.1 ล้านบาร์เรลในสัปดาห์ที่แล้ว ซึ่งตรงข้ามกับที่นักวิเคราะห์ที่ได้รับการสำรวจโดย S&P Global Platts คาดการณ์ไว้ว่า สต็อกน้ำมันดิบจะเพิ่มขึ้น 425,000 บาร์เรล
อย่างไรก็ตาม เทรดเดอร์เชื่อว่า สต็อกน้ำมันดิบของสหรัฐจะกลับมาดีดตัวขึ้นอย่างมากในสัปดาห์หน้า จากผลกระทบของพายุ Hermine ซึ่งพัดถล่มแถบกัลฟ์โคสต์ และได้ส่งผลกระทบต่อการผลิตและการขนส่งน้ำมันในสหรัฐ
นอกจากนี้ ภาวะการซื้อขายในตลาดน้ำมันยังถูกกดดันจากดอลลาร์สหรัฐที่แข็งค่าขึ้น ทำให้สินค้าโภคภัณฑ์ที่กำหนดราคาเป็นสกุลเงินดอลลาร์มีราคาแพงขึ้นสำหรับผู้ถือเงินสกุลอื่น
ดัชนีดอลลาร์ ซึ่งติดตามความเคลื่อนไหวของสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐกับสกุลเงินหลักอีก 6 สกุลเงิน ปรับตัวขึ้น 0.32% แตะที่ 95.334 ในวันศุกร์ หลังเจ้าหน้าที่ของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ออกมาแสดงความเห็น จนทำให้จุดกระแสวิตกกังวลเกี่ยวกับการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของเฟดในการประชุมวันที่ 20-21 ก.ย. นี้
ขณะเดียวกันนักลงทุนจับตาการประชุมอย่างไม่เป็นทางการของกลุ่มโอเปกในวันที่ 26-28 ก.ย.นี้ นอกรอบการประชุมพลังงานระหว่างประเทศ (IEF) ที่แอลจีเรีย โดยที่ประชุมจะหารือการตรึงกำลังการผลิต เพื่อรักษาเสถียรภาพของราคาน้ำมัน