ราคาน้ำมัน WTI บวกเพียงเล็กน้อย ถูกกดดันหลังสต็อกน้ำมันดิบสหรัฐพุ่งกว่า 6 ล้านบาร์เรล

ข่าวเศรษฐกิจ Wednesday May 2, 2018 22:17 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

สัญญาน้ำมันดิบล่วงหน้า WTI ปรับตัวขึ้นเพียงเล็กน้อยในวันนี้ หลังจากที่ดีดตัวขึ้นในช่วงแรก โดยถูกกดดันจากการที่สำนักงานสารสนเทศด้านการพลังงานของรัฐบาลสหรัฐ (EIA) เปิดเผยว่า สต็อกน้ำมันดิบของสหรัฐพุ่งขึ้นกว่า 6 ล้านบาร์เรลในสัปดาห์ที่แล้ว

ณ เวลา 22.05 น.ตามเวลาไทย สัญญาน้ำมันดิบเวสต์เท็กซัส (WTI) ส่งมอบเดือนมิ.ย. ซึ่งมีการซื้อขายทางระบบอิเล็กทรอนิกส์ที่ตลาด NYMEX เพิ่มขึ้น 22 เซนต์ หรือ 0.33% สู่ระดับ 67.47 ดอลลาร์/บาร์เรล

EIA เปิดเผยว่า สต็อกน้ำมันดิบของสหรัฐพุ่งขึ้น 6.2 ล้านบาร์เรลในสัปดาห์ที่แล้ว โดยสูงเกือบ 2 เท่าจากที่สถาบันปิโตรเลียมอเมริกา (API) ระบุว่าสต็อกน้ำมันดิบเพิ่มขึ้น 3.4 ล้านบาร์เรล

EIA ยังเปิดเผยว่า สต็อกน้ำมันเบนซินเพิ่มขึ้น 1.2 ล้านบาร์เรลในสัปดาห์ที่แล้ว ขณะที่สต็อกน้ำมันกลั่น ซึ่งรวมถึงฮีตติ้งออยล์และน้ำมันดีเซล ร่วงลง 3.9 ล้านบาร์เรล

ราคาน้ำมันยังถูกกดดันจากการผลิตน้ำมันที่เพิ่มขึ้นของสหรัฐ ซึ่งได้พุ่งขึ้น 25% นับตั้งแต่กลางปี 2559 สู่ระดับ 10.54 ล้านบาร์เรล/วัน ส่งผลให้สหรัฐเป็นประเทศที่ผลิตน้ำมันมากเป็นอันดับ 2 ของโลกรองจากรัสเซีย ซึ่งผลิตน้ำมันเกือบ 11 ล้านบาร์เรล/วัน

อย่างไรก็ดี ราคาน้ำมันได้แรงหนุนจากรายงานข่าวที่ว่า ผู้นำอิสราเอลได้เปิดเผยเอกสารจำนวนมากที่พิสูจน์ว่าอิหร่านกำลังดำเนินการโครงการลับเพื่อสร้างอาวุธนิวเคลียร์

นายเบนจามิน เนทันยาฮู นายกรัฐมนตรีอิสราเอล เปิดเผยเอกสารจำนวนมากที่เขาอ้างว่าได้รับจากอิหร่าน และพิสูจน์ว่าอิหร่านกำลังดำเนินการโครงการลับเพื่อสร้างอาวุธนิวเคลียร์

ก่อนหน้านี้ อิหร่านมักยืนยันว่าโครงการนิวเคลียร์ของตนเป็นโครงการนิวเคลียร์เพื่อสันติ แต่นายเนทันยาฮูได้เปิดเผยเอกสารจำนวนหลายพันหน้า ซึ่งเขาระบุว่าได้ถูกคัดลอกสำเนามาจากสถานที่แห่งหนึ่งในอิหร่าน และมีรายละเอียดเกี่ยวกับการสร้างอาวุธนิวเคลียร์

นายเนทันยาฮูกล่าวว่า เอกสารดังกล่าวแสดงให้เห็นถึงหลักฐานใหม่ที่ทำให้ได้ข้อสรุปว่าอิหร่านมีโครงการลับในการสร้างอาวุธนิวเคลียร์ โดยได้ปิดบังไว้เป็นเวลาหลายปี

การประกาศดังกล่าวมีขึ้น หลังจากที่นายเนทันยาฮูได้สนทนาทางโทรศัพท์กับประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ในช่วงสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา โดยผู้นำทั้งสองได้หารือกันเกี่ยวกับภัยคุกคามในตะวันออกกลางที่เกิดจากอิหร่าน

ทั้งนี้ ปธน.ทรัมป์มีเวลาจนถึงวันที่ 12 พ.ค.ในการตัดสินใจว่าจะถอนตัวออกจากข้อตกลงนิวเคลียร์ที่ชาติมหาอำนาจทำไว้กับอิหร่านหรือไม่ โดยข้อตกลงฉบับนี้เกิดจากลงนามในปี 2558 ระหว่างอิหร่าน และกลุ่มประเทศ P5+1 ได้แก่ จีน รัสเซีย อังกฤษ ฝรั่งเศส สหรัฐ และเยอรมนี ซึ่งข้อตกลงดังกล่าวกำหนดให้ P5+1 ผ่อนปรนการคว่ำบาตรต่ออิหร่าน ในขณะที่อิหร่านจะต้องระงับการพัฒนาอาวุธนิวเคลียร์

อย่างไรก็ดี เมื่อวันที่ 13 ต.ค.ปีที่แล้ว ปธน.ทรัมป์ประกาศไม่ให้การรับรองต่ออิหร่านในการปฏิบัติตามข้อตกลงนิวเคลียร์ที่มีการทำไว้ในปี 2558 โดยระบุว่า อิหร่านไม่ได้ปฏิบัติตามข้อตกลงดังกล่าว และมีการละเมิดหลายครั้ง

หากปธน.ทรัมป์ประกาศถอนตัวจากข้อตกลงนิวเคลียร์อิหร่าน ก็จะปูทางให้สหรัฐทำการคว่ำบาตรอิหร่านครั้งใหม่ ซึ่งจะทำให้อิหร่านไม่สามารถส่งออกน้ำมันสู่ตลาด และจะเป็นปัจจัยหนุนให้ราคาน้ำมันพุ่งขึ้น


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ