สัญญาน้ำมันดิบเวสต์เท็กซัส (WTI) ตลาดนิวยอร์กปิดพุ่งขึ้นแตะระดับสูงสุดในรอบ 7 ปีในวันอังคาร (18 ม.ค.) หลังมีรายงานว่ากลุ่มกบฏฮูตีได้ก่อเหตุโจมตีสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ (UAE) ซึ่งส่งผลให้เกิดความกังวลว่าสถานการณ์ในตะวันออกกลางจะทวีความรุนแรงมากขึ้นและส่งผลกระทบต่ออุปทานน้ำมัน
ทั้งนี้ สัญญาน้ำมันดิบ WTI ส่งมอบเดือนก.พ. เพิ่มขึ้น 1.61 ดอลลาร์ หรือ 1.9% ปิดที่ 85.43 ดอลลาร์/บาร์เรล ซึ่งเป็นระดับปิดสูงสุดนับตั้งแต่วันที่ 13 ต.ค. 2557
ส่วนสัญญาน้ำมันดิบเบรนท์ (BRENT) ส่งมอบเดือนมี.ค. เพิ่มขึ้น 1.03 ดอลลาร์ หรือ 1.2% ปิดที่ 87.51 ดอลลาร์/บาร์เรล ซึ่งเป็นระดับปิดสูงสุดนับตั้งแต่วันที่ 13 ต.ค. 2557
สัญญาน้ำมันดิบพุ่งขึ้นหลังจากกลุ่มกบฏฮูตีซึ่งได้รับการหนุนหลังจากอิหร่านได้ก่อเหตุโจมตีพื้นที่ชั้นในของ UAE ใกล้กับบริษัทน้ำมันแห่งชาติอาบูดาบี (ADNOC) เมื่อช่วงเย็นวันจันทร์ที่ผ่านมา ซึ่งส่งผลให้รถบรรทุกน้ำมัน 3 คันเกิดเพลิงลุกไหม้และระเบิดขึ้น ทำให้มีผู้บาดเจ็บ 6 ราย และผู้เสียชีวิต 3 ราย
เจ้าหน้าที่ตำรวจ UAE แถลงว่า ผู้ก่อเหตุใช้โดรนโจมตีพื้นที่เขตอุตสาหกรรมมุสซาฟฟาห์ รวมถึงไซด์งานก่อสร้างใกล้กับท่าอากาศยานนานาชาติอาบูดาบี
ทั้งนี้ UAE เป็นผู้ผลิตน้ำมันรายใหญ่อันดับ 3 ในกลุ่มโอเปก และบริษัท ADNOC เป็นผู้ควบคุมการผลิตน้ำมันในอาบูอาบี ซึ่งเป็นแหล่งน้ำมันดิบส่วนใหญ่ของประเทศ นอกจากนี้ UAE ยังเป็นผู้ผลิตน้ำมันรายใหญ่อันดับ 8 ของโลก
หลุยส์ ดิคสัน นักวิเคราะห์จากบริษัท Rystad Energy กล่าวว่า แม้การโจมตีสาธารณูปโภคด้านน้ำมันของ UAE จะสร้างความเสียหายในวงจำกัด แต่เหตุการณ์ดังกล่าวสะท้อนให้เห็นว่ากลุ่มกบฏฮูตีสามารถรุกคืบเข้าสู่พื้นที่ชั้นในของ UAE โดยเฉพาะพื้นที่ที่มีการผลิตน้ำมัน ซึ่งทำให้เกิดความกังวลว่าสถานการณ์ตึงเครียดในตะวันออกกลางจะทวีความรุนแรงมากขึ้น และอาจส่งผลกระทบต่อข้อตกลงนิวเคลียร์ระหว่างอิหร่านและสหรัฐในอนาคต เนื่องจากกลุ่มกบฏฮูตีเป็นกลุ่มติดอาวุธที่รัฐบาลอิหร่านให้การสนับสนุน
นักลงทุนจับตาการเปิดเผยสต็อกน้ำมันรายสัปดาห์จากสำนักงานสารสนเทศด้านพลังงานสหรัฐ (EIA) ในวันพฤหัสบดี เวลา 23.00 น.ตามเวลาไทย