"หัวเว่ย" รอคำสั่งกระทรวงพาณิชย์สหรัฐประเด็นแอนดรอยด์ หลัง"ทรัมป์"ยกเลิกคำสั่งแบน

ข่าวเทคโนโลยี Tuesday July 2, 2019 09:48 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

นายทิม แดงส์ รองประธานฝ่ายบริหารจัดการความเสี่ยงและความสัมพันธ์กับคู่ค้าของบริษัทหัวเว่ย เทคโนโลยี่ ธุรกิจโทรคมนาคมยักษ์ใหญ่ของจีน เปิดเผยว่า ขณะนี้ทางหัวเว่ยกำลังรอคำแนะนำเพิ่มเติมจากกระทรวงพาณิชย์สหรัฐ เพื่อประเมินว่าหัวเว่ยจะยังใช้ระบบปฏิบัติการแอนดรอยด์ (Android) ของกูเกิลในสมาร์ทโฟนรุ่นใหม่ๆได้หรือไม่

ถ้อยแถลงดังกล่าวมีขึ้นหลังเมื่อสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ แห่งสหรัฐ กล่าวหลังจากการเจรจากับประธานาธิบดีสี จิ้นผิง ของจีน ว่า เขาจะอนุญาตให้บริษัทหัวเว่ย เทคโนโลยี่ ของจีน สามารถซื้อสินค้าจากซัพพลายเออร์สหรัฐได้

ปธน.ทรัมป์ระบุในการแถลงข่าวหลังการประชุมซัมมิตของกลุ่ม G20 ที่ญี่ปุ่นว่า บริษัทสหรัฐสามารถขายอุปกรณ์ให้กับหัวเว่ย โดยเป็นอุปกรณ์ที่ไม่มีปัญหาเกี่ยวกับความมั่นคงแห่งชาติ

นายทิม แดงส์ ระบุว่า หัวเว่ยรับทราบเกี่ยวกับถ้อยแถลงของปธน.ทรัมป์ โดยขณะนี้หัวเว่ยกำลังติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด แต่ ณ วันนี้ยังให้ข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับระบบแอนดรอยด์ไม่ได้ จนกว่ากระทรวงพาณิชย์จะแถลงในกรณีนี้

ทั้งนี้ เมื่อไม่กี่เดือนที่ผ่านมา กระทรวงพาณิชย์สหรัฐได้ขึ้นบัญชีดำหัวเว่ย โดยห้ามไม่ให้หัวเว่ยซื้อสินค้าจากซัพพลายเออร์สหรัฐ และล่าสุดทางกระทรวงพาณิชย์ยังไม่ได้ออกมาประกาศว่าการตัดสินใจเมื่อช่วงสุดสัปดาห์ของปธน.ทรัมป์นั้นมีความเกี่ยวข้องกับระบบแอนดรอยด์หรือไม่

นอกจากนี้ นายแลร์รี่ คุดโลว์ ที่ปรึกษาฝ่ายเศรษฐกิจประจำทำเนียบขาว กล่าวว่า ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ไม่ได้ "ให้อภัยโทษแก่หัวเว่ยแบบเบ็ดเสร็จ" และรัฐบาลสหรัฐไม่ได้ปลดหัวเว่ยออกจากบัญชีดำที่ถูกรัฐบาลสั่งห้ามการซื้อสินค้าจากบริษัทอเมริกันแห่งอื่น ๆ แต่รัฐบาลให้การผ่อนคลายแก่หัวเว่ย ด้วยการให้กระทรวงพาณิชย์สหรัฐอนุมัติใบอนุญาตมากขึ้นเพื่อให้บริษัทสหรัฐสามารถขายผลิตภัณฑ์แก่หัวเว่ย ตราบใดที่ผลิตภัณฑ์ดังกล่าวไม่ได้เป็นภัยคุกคามความมั่นคงแห่งชาติของสหรัฐ

"หัวเว่ยจะยังคงอยู่ในบัญชีดำที่จะถูกควบคุมด้านสินค้าส่งออกอย่างเข้มงวด และเกี่ยวข้องกับความมั่นคงของชาติ" นายคุดโลว์กล่าว

ปธน.ทรัมป์กล่าวว่า การตัดสินใจที่จะให้หัวเว่ยซื้อสินค้าของสหรัฐ เป็นไปตามความต้องการของบริษัทในกลุ่มเทคโนโลยีขั้นสูงของสหรัฐ และเจ้าหน้าที่รัฐบาลสหรัฐจะจัดการประชุมเพื่อหารือถึงเรื่องดังกล่าว


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ