นายมาร์ค ซักเคอร์เบิร์ก ซีอีโอของบริษัทเมตา แพลตฟอร์มส์ กล่าวว่า แว่นตาเมตา เควสต์ 3 (Meta Quest 3) เป็นผลิตภัณฑ์ที่ดีที่สุดในตลาดตอนนี้ หลังจากที่แว่นตาวิชัน โปร (Vision Pro) ได้รับความสนใจจากคนมีชื่อเสียงในช่วงที่ผ่านมา เนื่องจากมีฟีเจอร์ Passthrough ที่ทำให้ผู้สวมใส่มองเห็นภาพทิวทัศน์รอบตัวขณะใช้งาน
ทั้งนี้ Passthrough เป็นฟีเจอร์ที่ใช้งานในแว่นตารุ่นล่าสุดที่ใช้เทคโนโลยีความเป็นจริงผสม (MR) ซึ่งช่วยให้ผู้สวมใส่มองเห็นได้ไกลเกินกว่าเพียงจอภาพที่คาดอยู่บนศีรษะ โดยผู้ใช้งานจะได้รับวิดีโอถ่ายทอดสดความละเอียดสูงที่แสดงสิ่งแวดล้อมต่าง ๆ รอบตัวจากกล้องที่ติดตั้งอยู่ภายนอกแว่นตา ดังนั้น ผู้สวมใส่จึงสามารถใช้งานแว่นตาดังกล่าว ขณะเดินหรือออกกำลังกายได้
อย่างไรก็ตาม นายซักเคอร์เบิร์กระบุในวิดีโอที่ถ่ายทำโดยใช้ฟีเจอร์ Passthrough ของเมตา เควสต์ 3 ว่า "ผมคิดว่าเควสต์นั้นเป็นผลิตภัณฑ์ที่ดีกว่า แต่ดูเหมือนจะมีผู้คนจำนวนมากที่คิดว่าแว่นวิชันโปรจะมีคุณภาพมากกว่า เพราะว่ามันเป็นของแอปเปิ้ล และมันมีราคาสูงกว่า 3,000 ดอลลาร์ ด้วยความสัตย์จริง ผมค่อนข้างทึ่งที่เควสต์นั้นเข้ากับกิจกรรมต่าง ๆ ที่ผู้คนใช้งานได้มากกว่า เมื่อพิจารณาจากราคาที่แตกต่างกันมากขนาดนี้"
สำนักข่าวบีบีซีรายงานว่า เมตาพัฒนาเทคโนโลยีดังกล่าวมานานนับทศวรรษ และยังทำฟีเจอร์เหล่านี้ลงบนอุปกรณ์ของคู่แข่งอย่างแว่นเพลย์ สเตชัน วีอาร์ 2 (PlayStation VR 2) ของโซนีด้วย แต่สิ่งที่น่าจะสร้างความไม่พอใจให้กับเจ้าของแพลตฟอร์มเมตารายนี้คือ แว่นวิชันโปรนั้นได้รับการยกย่องจากเทคโนโลยีที่มีอยู่แล้ว
ในวิดีโอดังกล่าว นายซักเคอร์เบิร์กยังใช้เวลาส่วนใหญ่ไปกับการอธิบายถึงเหตุผลว่าทำไมแว่นเมตา เควสต์ 3 ถึงดีกว่า ตั้งแต่ความสามารถในการเคลื่อนไหวไปมาได้อย่างง่ายดายโดยไม่มีสาย การสวมใส่เพื่อเข้าสังคม แต่เหนือสิ่งอื่นใดคือราคาที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง
ทั้งนี้ "ผมคาดหวังว่าแว่นเควสต์นั้นจะคุ้มค่ากับคนส่วนใหญ่มากกว่า เนื่องจากมันดีจริง ๆ และมีราคาถูกกว่าถึง 7 เท่า" นายซักเคอร์เบิร์กระบุ "ผมคิดว่ามันสะดวกสบายมากกว่า เนื่องจากเราออกแบบให้มันมีน้ำหนักเพียง 120 กรัม ซึ่งสร้างความแตกต่างอย่างมากเมื่อมันอยู่บนใบหน้า ทั้งไม่มีสายมาเกะกะพะรุงพะรังตอนคุณเคลื่อนไหวด้วย นี่เป็นเรื่องสำคัญอย่างยิ่ง"