มหาวิทยาลัยโคลัมเบียเปิดเผยเมื่อวันอังคาร (6 พ.ค.) ว่า ทางมหาวิทยาลัยได้เลิกจ้างนักวิจัยจำนวนมากที่ทำงานภายใต้ทุนวิจัยและสัญญาจากรัฐบาลสหรัฐฯ หลังจากรัฐบาลของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์สั่งตัดงบประมาณดังกล่าวเมื่อเดือนมี.ค. โดยอ้างเหตุการณ์คุกคามชาวยิวที่เกิดขึ้นในมหาวิทยาลัย
เมื่อเดือนมี.ค. รัฐบาลทรัมป์ได้สั่งยกเลิกเงินทุนมูลค่า 400 ล้านดอลลาร์ที่จัดสรรให้แก่มหาวิทยาลัยโคลัมเบีย และขู่ว่าจะระงับเงินทุนอีกหลายพันล้านดอลลาร์ โดยให้เหตุผลว่ามีเหตุการณ์คุกคามชาวยิวในบริเวณรอบมหาวิทยาลัยในนครนิวยอร์ก
ทั้งนี้ มหาวิทยาลัยโคลัมเบียถือเป็นศูนย์กลางของการเคลื่อนไหวของนักศึกษาที่สนับสนุนปาเลสไตน์และต่อต้านอิสราเอล ซึ่งส่งผลให้เกิดความตึงเครียดในวิทยาเขตของสหรัฐฯ ตลอดช่วงสงครามในฉนวนกาซา
รักษาการอธิการบดีของมหาวิทยาลัยโคลัมเบียและเจ้าหน้าที่ระดับสูงระบุในจดหมายเปิดผนึกว่า มหาวิทยาลัยจำเป็นต้องตัดสินใจในเรื่องที่ยากลำบาก และน่าเสียใจที่นักวิจัยราว 180 คน ซึ่งทำงานในโครงการที่ได้รับทุนจากรัฐบาลกลางบางส่วนหรือเต็มจำนวน จะได้รับหนังสือแจ้งการไม่ต่อสัญญาหรือเลิกจ้าง พร้อมระบุว่าสถานการณ์ทางการเงินของมหาวิทยาลัยเผชิญกับแรงกดดันอย่างรุนแรง
ในจดหมายระบุด้วยว่า มหาวิทยาลัยยังคงพยายามเจรจากับรัฐบาลเพื่อขอทุนสนับสนุนกลับคืนมา อย่างไรก็ตาม ไม่มีการเปิดเผยว่าคณะหรือหน่วยงานใดจะสูญเสียนักวิจัยและโครงสร้างพื้นฐาน
ตามข้อมูลของผู้บริหารนั้น การตัดงบครั้งนี้มาจากวงเงินรวมกว่า 5 พันล้านดอลลาร์ที่เคยถูกจัดสรรให้กับมหาวิทยาลัย แม้ว่าส่วนใหญ่เกี่ยวข้องกับการวิจัยด้านสุขภาพและวิทยาศาสตร์
นอกจากนี้ เมื่อวันจันทร์ (5 พ.ค.) รัฐบาลทรัมป์ยังได้แจ้งต่อมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ดว่า จะไม่ได้รับเงินทุนจากรัฐบาลกลางในอนาคต หากไม่ปฏิบัติตามข้อเรียกร้องของรัฐบาลเกี่ยวกับวิธีจัดการกับกรณีคุกคามชาวยิวและปัญหาอื่น ๆ