ฟรีดริช แมร์ซ นายกรัฐมนตรีเยอรมนีคนใหม่เริ่มต้นเดินสายไปยังต่างประเทศครั้งแรกในวันนี้ (7 พ.ค.) โดยไปเยือนฝรั่งเศสและโปแลนด์ เพื่อฟื้นความสัมพันธ์กับพันธมิตรสำคัญของเยอรมนี และแสดงให้เห็นว่าเยอรมนีพร้อมกลับมามีบทบาทเป็นผู้นำในยุโรปอีกครั้ง
แมร์ซ วัย 69 ปีเพิ่งได้รับตำแหน่งนายกรัฐมนตรีหลังจากการลงมติรอบที่สองในรัฐสภาเยอรมนีเมื่อวานนี้ (6 พ.ค.) หลังจากที่เขาไม่สามารถชนะในการลงมติรอบแรก ซึ่งสะท้อนถึงความไม่มีเอกภาพในรัฐบาลผสมระหว่างพรรคอนุรักษ์นิยมกับพรรคสังคมประชาธิปไตย
หลายประเทศในยุโรปคาดหวังว่า แมร์ซจะนำพาเยอรมนีกลับมาเป็นผู้นำที่เข้มแข็งอีกครั้งในยุโรป หลังจากรัฐบาลชุดก่อนภายใต้การนำของโอลาฟ โชลซ์ มีปัญหาความขัดแย้งภายในมานานหลายปี
ทั้งนี้ แมร์ซเข้ารับตำแหน่งในช่วงเวลาที่สำคัญ ขณะที่ยุโรปกำลังวางแผนช่วยเหลือยูเครนในการทำสงครามกับรัสเซีย และพยายามเจรจาข้อตกลงการค้าฉบับใหม่กับสหรัฐฯ หลังจากประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ของสหรัฐฯ ประกาศขึ้นภาษีในเดือนเม.ย.
ผู้เชี่ยวชาญกล่าวว่า แมร์ซต้องการให้เยอรมนีมีบทบาทมากขึ้นในการกำหนดทิศทางนโยบายของยุโรป โดยเขาวางแผนจะควบคุมด้านการต่างประเทศและยุโรปไว้ที่สำนักนายกรัฐมนตรีโดยตรง และเตรียมจัดตั้งสภาความมั่นคงแห่งชาติ เพื่อดูแลนโยบายด้านการต่างประเทศ การพัฒนา และกลาโหมอย่างมีประสิทธิภาพ
แมร์ซเคยทำงานทั้งด้านการเมืองและธุรกิจมาก่อน เขากล่าวว่าอยากฟื้นความสัมพันธ์กับประเทศพันธมิตรในยุโรป และเขายังมองว่ายุโรปควรมีความเป็นอิสระด้านกลาโหมมากขึ้น และดูเหมือนว่า เขาเปิดรับแนวคิดของฝรั่งเศสที่ต้องการสร้างระบบป้องกันร่วมของยุโรป
จุดหมายแรกในการเดินทางเยือนต่างประเทศของแมร์ซคือกรุงปารีสของฝรั่งเศส เพื่อพบปะกับประธานาธิบดีเอ็มมานูเอล มาครง ผู้นำฝรั่งเศสซึ่งมีความสัมพันธ์อันดีต่อกัน และต่อมาในวันเดียวกัน แมร์ซจะเดินทางไปยังโปแลนด์ซึ่งปัจจุบันมีบทบาทสำคัญในยุโรป เพราะให้การสนับสนุนยูเครนอย่างแข็งขัน
เจ้าหน้าที่โปแลนด์แสดงความหวังว่า เยอรมนีภายใต้การนำของแมร์ซจะกลับมาร่วมกันเป็นผู้นำของยุโรปอีกครั้ง
นอกจากนี้ แมร์ซยังต้องการหารือกับมาครง และโดนัลด์ ทัสก์ นายกรัฐมนตรีของโปแลนด์เรื่องการเพิ่มความเข้มงวดของนโยบายผู้อพยพในยุโรป โดยรัฐบาลเยอรมนีชุดใหม่ตกลงกันว่า จะปฏิเสธผู้ขอลี้ภัยที่พรมแดนของประเทศ แต่ต้องดำเนินการร่วมกับประเทศเพื่อนบ้านในยุโรปด้วย