"โฆเซ มูฆิกา" อดีตปธน.อุรุกวัยผู้ปลดล็อกกัญชา ถึงแก่อสัญกรรมในวัย 89 ปี

ข่าวต่างประเทศ Wednesday May 14, 2025 12:02 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

โฆเซ มูฆิกา อดีตนักรบกองโจรผู้ก้าวขึ้นเป็นประธานาธิบดีอุรุกวัย และผู้ผลักดันการปฏิรูปที่ก้าวหน้าจนสร้างชื่อเสียงขจรไกลไปทั่วอเมริกาใต้ ได้ถึงแก่อสัญกรรมแล้วเมื่อวานนี้ (13 พ.ค.) ด้วยวัย 89 ปี

มูฆิกา หรือ "เปเป้" ที่ชาวอุรุกวัยส่วนใหญ่รู้จักกันดีในฐานะผู้มีวาจาโผงผาง ได้เป็นผู้นำคณะรัฐบาลฝ่ายซ้ายของประเทศเกษตรกรรมเล็ก ๆ แห่งนี้ระหว่างปี 2553-2558 หลังทำให้ผู้ลงคะแนนเสียงเชื่อมั่นว่า เขาได้ทิ้งอดีตที่เคยสังกัดกลุ่มหัวรุนแรงไว้เบื้องหลังแล้ว

สมัยดำรงตำแหน่งประธานาธิบดี มูฆิกาได้แสดงจุดยืนเสรีนิยมที่ก้าวหน้าในประเด็นสิทธิพลเมือง เขาลงนามอนุมัติกฎหมายให้เพศเดียวกันสมรสได้ รวมถึงอนุญาตการทำแท้งในช่วงแรกของการตั้งครรภ์ และยังสนับสนุนข้อเสนอให้การจำหน่ายกัญชาเป็นสิ่งถูกกฎหมาย ซึ่งมาตรการเหล่านี้ถือเป็นการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญสำหรับกลุ่มประเทศลาตินอเมริกาที่ประชาชนส่วนใหญ่นับถือศาสนาคริสต์นิกายคาทอลิก และนโยบายเรื่องกัญชาก็ถือเป็นเรื่องใหม่มากสำหรับทั่วโลกในยุคนั้น

"เขายืนหยัดปกป้องประชาธิปไตยอย่างหาใครเทียบได้ยาก และไม่เคยละทิ้งการต่อสู้เพื่อความยุติธรรมทางสังคมและการขจัดความเหลื่อมล้ำทั้งมวล" ประธานาธิบดีลูอิส อินาซิโอ ลูลา ดา ซิลวา แห่งบราซิล กล่าว พร้อมเสริมว่า "ความยิ่งใหญ่ของมูฆิกาไม่ได้จำกัดอยู่เพียงในอุรุกวัยหรือแค่ในช่วงที่เขาดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีเท่านั้น"

ตลอดวาระการดำรงตำแหน่ง มูฆิกาปฏิเสธที่จะย้ายเข้าพำนักในทำเนียบประธานาธิบดี เขาเลือกที่จะอาศัยอยู่ที่บ้านอันเรียบง่ายของตนเอง ซึ่งมีแปลงปลูกดอกไม้เล็ก ๆ อยู่ในย่านชานกรุงมอนเตวิเดโอ เมืองหลวงของอุรุกวัย

มูฆิกามักหลีกเลี่ยงการสวมสูทผูกเนกไทตามแบบพิธีการ ผู้คนจึงมักเห็นภาพเขาขับรถเต่าโฟล์คสวาเกนคู่ใจคันเก่าไปตามที่ต่าง ๆ หรือนั่งทานอาหารเที่ยงในร้านย่านใจกลางเมืองปะปนไปกับเหล่าพนักงานออฟฟิศ

การไม่ยึดติดกับพิธีรีตองของมูฆิกามักถูกตั้งคำถามจากนักวิจารณ์ ขณะเดียวกัน คำพูดที่โผงผางและบางครั้งอาจฟังดูไม่รื่นหู ก็ทำให้เขาต้องออกมาชี้แจงอยู่บ่อยครั้ง ทั้งจากแรงกดดันของฝ่ายตรงข้ามและพันธมิตรทางการเมืองเอง อย่างไรก็ตาม อัธยาศัยที่เป็นกันเองและแนวคิดที่ก้าวหน้าของเขานี่เองที่ทำให้มูฆิกาเป็นที่รักของชาวอุรุกวัยจำนวนมาก

มูฆิกาเข้ารับตำแหน่งประธานาธิบดีเมื่ออายุได้ 74 ปี เขาชนะการเลือกตั้งด้วยคะแนนเสียง 52% แม้จะมีผู้ลงคะแนนบางส่วนกังวลเรื่องอายุ รวมถึงอดีตของเขาในฐานะหนึ่งในแกนนำกลุ่มกบฏตูปามารอส (Tupamaros) ในช่วงทศวรรษ 2500 และ 2510

ในช่วงปลายทศวรรษ 2500 เขาได้เข้าร่วมขบวนการกองโจรตูปามารอส ซึ่งเป็นกลุ่มติดอาวุธแนวมาร์กซิสต์ที่เคลื่อนไหวเพื่อบั่นทอนเสถียรภาพของรัฐบาลอนุรักษนิยมอุรุกวัยในขณะนั้น ผ่านการปล้น การลักพาตัวบุคคลสำคัญทางการเมือง และการวางระเบิด

ภายหลังมูฆิกาเปิดเผยว่าเขาไม่เคยลงมือสังหารผู้ใด แต่ยอมรับว่าเคยมีส่วนร่วมในการปะทะอย่างรุนแรงหลายครั้งกับเจ้าหน้าที่ตำรวจและทหาร และเคยถูกยิงถึง 6 นัด

กองกำลังความมั่นคงของอุรุกวัยสามารถปราบปรามกลุ่มตูปามารอสได้สำเร็จในช่วงที่กองทัพเข้ายึดอำนาจด้วยการรัฐประหารในปี 2516 เหตุการณ์ครั้งนั้นนับเป็นจุดเริ่มต้นของยุคเผด็จการที่ยาวนานถึง 12 ปี ซึ่งมีประชาชนราว 200 คนถูกลักพาตัวและสังหาร ขณะที่อีกหลายพันคนต้องโทษจำคุกและถูกทรมาน

มูฆิกาถูกจองจำเกือบ 15 ปี โดยในหลายปีนั้นเป็นการถูกขังเดี่ยว เขาเล่าว่าต้องนอนอยู่ที่ก้นรางให้อาหารม้าเก่า ๆ โดยมีเพียงมดเป็นเพื่อน เขาสามารถหลบหนีออกจากที่คุมขังได้ถึงสองครั้ง โดยครั้งหนึ่งใช้วิธีขุดอุโมงค์เข้าไปยังบ้านข้างเคียง ในช่วงบั้นปลายชีวิตเมื่อใกล้จะอายุ 90 ปี เขาเคยกล่าวถึง "นิสัยเสีย" ที่สุดของตนเองว่าคือการพูดกับตัวเอง ซึ่งเป็นผลพวงมาจากช่วงเวลาที่ถูกขังเดี่ยวนั่นเอง

เมื่อประเทศเกษตรกรรมซึ่งมีประชากรราว 3 ล้านคนแห่งนี้ กลับคืนสู่ระบอบประชาธิปไตยอีกครั้งในปี 2528 มูฆิกาก็ได้รับการปล่อยตัวและหวนคืนสู่เส้นทางการเมือง ก่อนจะค่อย ๆ กลายเป็นบุคคลสำคัญของฝ่ายซ้ายในที่สุด

แม้ฐานเสียงหลักของมูฆิกาจะมาจากฝ่ายซ้าย แต่เขาก็ยังคงเปิดกว้างในการพูดคุยกับฝ่ายตรงข้ามในกลุ่มการเมืองสายกลาง-ขวาอยู่เสมอ บ่อยครั้งที่เขาเชิญคนเหล่านั้นมาร่วมวงบาร์บีคิวแบบเป็นกันเองที่บ้านของเขา

"เราไม่จำเป็นต้องแสร้งว่าเห็นพ้องต้องกันในทุกเรื่อง แต่เราต้องยอมรับในสิ่งที่เป็นอยู่ ไม่ใช่สิ่งที่เราอยากให้เป็น" มูฆิกากล่าว

มูฆิกาเชื่อว่า ยาเสพติดควรถูกยกเลิกความผิดทางอาญา "ภายใต้การควบคุมดูแลของรัฐอย่างเข้มงวด" และปัญหาการเสพติดก็จำเป็นต้องได้รับการแก้ไข

"ผมไม่ได้สนับสนุนการใช้ยาเสพติด แต่ผมก็ไม่สามารถสนับสนุน (การแบน) ได้เช่นกัน เพราะนั่นจะทำให้เราต้องเจอกับปัญหาสองด้าน คือ การติดยาซึ่งถือเป็นอาการป่วย และปัญหาการค้ายาเสพติดซึ่งเลวร้ายยิ่งกว่า" มูฆิกากล่าว

"ผมอยากฝากถึงคนหนุ่มสาวทุกคนว่า ชีวิตนั้นสวยงาม แต่มันก็มีวันโรยราและมีวันพลั้งพลาดได้" มูฆิกากล่าวหลังจากได้รับการวินิจฉัยว่าเป็นโรคมะเร็ง

"สิ่งสำคัญคือการลุกขึ้นเริ่มต้นใหม่ทุกครั้งที่ล้ม และหากมีความโกรธแค้น ก็จงแปรเปลี่ยนมันให้เป็นพลังแห่งความหวัง"

เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ