ความขัดแย้งทางการเมืองในสหรัฐฯ ทวีความรุนแรงขึ้น หลังประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ สั่งการให้กองกำลังพิทักษ์มาตุภูมิ (National Guard) เข้าควบคุมสถานการณ์ในนครลอสแอนเจลิส ท่ามกลางการประท้วงต่อต้านนโยบายกวาดล้างผู้อพยพที่เข้มงวดขึ้น
ปธน.ทรัมป์ได้ลงนามในคำสั่งให้ส่งกำลังพล 2,000 นายเข้าประจำการเพื่อรับมือกับกลุ่มผู้ประท้วงที่ต่อต้านการจับกุมคนเข้าเมืองอย่างผิดกฎหมายในลอสแอนเจลิส โดยสื่อท้องถิ่นเผยภาพยานยนต์ทหารและเจ้าหน้าที่ใช้แก๊สน้ำตาสลายผู้ชุมนุมบริเวณอาคารของหน่วยงานรัฐบาลกลางในลอสแอนเจลิส หลังจากกลุ่มผู้ประท้วงรวมตัวแสดงจุดยืนต่อต้านการใช้กำลังจากหน่วยงานบังคับใช้กฎหมายคนเข้าเมืองและศุลกากรสหรัฐฯ (ICE)
คริส เมอร์ฟีย์ วุฒิสมาชิกจากพรรคเดโมแครตวิจารณ์ว่า ทรัมป์ไม่ได้พยายามเยียวยาหรือรักษาสันติภาพ แต่จงใจสร้างความขัดแย้งและแบ่งแยกประชาชน พร้อมย้ำว่าการเคลื่อนไหวดังกล่าวสะท้อนถึงความไม่เชื่อมั่นในระบอบประชาธิปไตยและสิทธิเสรีภาพในการประท้วง และหากมีโอกาสล้มล้างกฎหมาย พวกเขาก็จะไม่ลังเล
ขณะเดียวกัน คอรี บูเคอร์ วุฒิสมาชิกเดโมแครตอีกราย ประณามทรัมป์ที่ส่งกองกำลังทหารโดยไม่ผ่านความเห็นชอบจากรัฐแคลิฟอร์เนีย ซึ่งยิ่งทำให้สถานการณ์ตึงเครียดยิ่งขึ้น พร้อมตั้งคำถามถึงความย้อนแย้งของทรัมป์ โดยเปรียบเทียบกับเหตุจลาจลเมื่อวันที่ 6 ม.ค. 2564 ที่กลุ่มผู้สนับสนุนทรัมป์นับพันคนบุกอาคารรัฐสภา ซึ่งทรัมป์กลับออกคำสั่งอภัยโทษให้ผู้ต้องหากลุ่มนั้นในเวลาต่อมา
นอกจากนี้ ความขัดแย้งระหว่างทรัมป์กับเกวิน นิวซัม ผู้ว่าการรัฐแคลิฟอร์เนียก็ยิ่งร้าวลึก โดยนิวซัมประณามการตอบสนองของรัฐบาลกลางว่าเป็นการใช้อำนาจเกินขอบเขตและเป็นการเล่นละครชุดใหญ่ ขณะที่ทรัมป์กล่าวโทษนิวซัมว่า ล้มเหลวในการควบคุมความสงบเรียบร้อย
ส่วนฝั่งรีพับลิกัน ไมค์ จอห์นสัน ประธานสภาผู้แทนราษฎรสหรัฐฯ ออกมาสนับสนุนการตัดสินใจของทรัมป์ โดยยืนยันว่าเป็นการรักษาสันติภาพให้เข้มแข็ง ซึ่งแนวทางที่ใช้ได้ทั้งในและต่างประเทศ ไม่ใช่การใช้กำลังเกินกว่าเหตุ
ส่วนเจมส์ แลงค์ฟอร์ด วุฒิสมาชิกพรรครีพับลิกัน ระบุว่าการส่งกองกำลังพิทักษ์มาตุภูมิครั้งนี้มีเป้าหมายเพื่อคลี่คลายความตึงเครียดจากการปะทะระหว่างเจ้าหน้าที่กับผู้ชุมนุม และยังเปรียบเทียบกับเหตุการณ์ประท้วงเรียกร้องความยุติธรรมทางเชื้อชาติเมื่อปี 2563 ในเมืองซีแอตเทิลและพอร์ตแลนด์ ซึ่งหน่วยพิทักษ์มาตุภูมิเข้าไปสนับสนุนเจ้าหน้าที่ท้องถิ่นเช่นกัน
ทั้งนี้ การประท้วงต่อต้านการจับกุมคนเข้าเมืองอย่างผิดกฎหมายครั้งล่าสุดได้จุดกระแสการถกเถียงในสหรัฐฯ ทั้งในประเด็นการเข้าเมือง สิทธิในการประท้วง และขอบเขตอำนาจของรัฐบาลกลางในกิจการภายในประเทศ รวมถึงการตั้งคำถามถึงขอบเขตอำนาจของประธานาธิบดี และสิทธิของประชาชนในการแสดงความเห็นต่าง