หอการค้าอเมริกันในไต้หวัน (AmCham Taiwan) เปิดเผยในเอกสารชี้แจงประจำปี 2568 ในวันนี้ (10 มิ.ย.) ว่า สหรัฐฯ ควรปฏิบัติกับไต้หวันเหมือนมิตรไม่ใช่ศัตรู โดยยกเลิกภาษีศุลกากรใหม่ รื้อฟื้นการประชุมคณะรัฐมนตรีระดับสูง และทำข้อตกลงเพื่อหลีกเลี่ยงการเก็บภาษีซ้ำซ้อนกับไต้หวัน
คาร์ล เว็กเนอร์ ประธานหอการค้าอเมริกันในไต้หวันกล่าวกับนักข่าวว่า "ไต้หวันเป็นเพื่อนที่ไว้ใจได้ของสหรัฐฯ เป็นพันธมิตรประชาธิปไตยที่สำคัญในภูมิภาคอินโดแปซิฟิก เป็นนักลงทุนรายใหญ่ในอุตสาหกรรมสหรัฐฯ และเป็นหุ้นส่วนสำคัญในการสร้างห่วงโซ่อุปทานที่แข็งแกร่ง" และตัวเขาจะเป็นผู้นำคณะผู้แทนเดินทางไปยังกรุงวอชิงตันในเดือนนี้เพื่อเจรจากับเจ้าหน้าที่ทางการสหรัฐฯ ถึงที่ด้วยข้อกังวลเกี่ยวกับภาษีศุลกากรและแนวทางการส่งเสริมความสัมพันธ์ทางธุรกิจระหว่างไต้หวันและสหรัฐฯ
เว็กเนอร์ระบุว่า มาตรการด้านการค้าต่าง ๆ ที่แรกเริ่มเดิมทีมีวัตถุประสงค์เพื่อจัดการกับการปฏิบัติที่ไม่เป็นธรรมจากคู่แข่งเชิงกลยุทธ์อย่างจีนนั้น กำลังมุ่งเป้ามาที่พันธมิตรอย่างไต้หวัน ด้วยเหตุนี้ ข้อตกลงเพื่อหลีกเลี่ยงการเก็บภาษีซ้ำซ้อน ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างการพิจารณาของวุฒิสภาสหรัฐฯ นั้น จึงควรได้รับการแก้ไขโดยด่วนเพื่อขจัดอุปสรรคด้านการลงทุน ขณะเดียวกัน การเดินทางเยือนไต้หวันโดยสมาชิกในคณะรัฐมนตรีสหรัฐฯ ควรเกิดขึ้นอีกครั้ง
"การปฏิบัติกับไต้หวันแบบฉันมิตรไม่ใช่ศัตรู เป็นผลประโยชน์ของอเมริกา" เว็กเนอร์กล่าว
อย่างไรก็ตาม ทั้งไต้หวันและสหรัฐฯ ต่างก็ไม่ได้เปิดเผยข้อมูลความคืบหน้าที่เป็นสาระสำคัญเกี่ยวกับการเจรจาภาษีศุลกากรต่อสาธารณะ
ทั้งนี้ ไต้หวันได้รับประโยชน์จากการสนับสนุนอย่างแข็งแกร่งของสหรัฐฯ ในสมัยแรกของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ที่เข้ามากำกับดูแลในการจำหน่ายอาวุธ ซึ่งปธน.โจ ไบเดนได้เข้ามารับช่วงต่อ
อย่างไรก็ตาม ทรัมป์ได้ประกาศเก็บภาษีศุลกากรกับไต้หวันในอัตรา 32% ในฐานะส่วนหนึ่งของมาตรการเรียกเก็บภาษีศุลกากรเป็นวงกว้างทั่วโลก ก่อนสั่งระงับไปเป็นเวลา 90 วัน โดยในขณะนี้ไต้หวันและสหรัฐฯ ยังคงอยู่ในระหว่างการเจรจาเพื่อแก้ไขปัญหาดังกล่าว