บรรดาผู้นำกลุ่มประเทศอุตสาหกรรมชั้นนำ 7 ประเทศ หรือ G7 ได้เปิดฉากการประชุม 2 วันในแคนาดาเมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมา (16 มิ.ย.) โดยหารือกันในประเด็นการค้าโลก ท่ามกลางความพยายามหลีกเลี่ยงความขัดแย้งที่เกิดจากสงครามภาษีและแนวทางการทูตแบบฝ่ายเดียวของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ผู้นำสหรัฐฯ
สำนักข่าวเกียวโดรายงานว่า แนวทางการทูตแบบเน้นผลประโยชน์ของทรัมป์ และมาตรการการค้าที่มีลักษณะเผชิญหน้าซึ่งพุ่งเป้าไปที่การเรียกเก็บภาษีนำเข้าจากประเทศสมาชิก G7 ด้วยนั้น ได้กลายเป็นบททดสอบต่อความสามารถของกลุ่ม G7 ในการประสานนโยบายเศรษฐกิจโลก และจัดการกับภัยคุกคามต่อสันติภาพและความมั่นคงระหว่างประเทศ
ระหว่างการประชุม มาร์ก คาร์นีย์ นายกรัฐมนตรีแคนาดาและเจ้าภาพการประชุม เตือนว่าขณะนี้โลกกำลังเผชิญภาวะแตกแยกและอันตรายยิ่งขึ้น พร้อมเน้นย้ำถึงความสำคัญของความร่วมมือและความมั่งคั่งทางเศรษฐกิจเพื่อร่วมกันสร้างอนาคตที่ดีขึ้น
คาร์นีย์กล่าวว่า "แม้เราจะไม่เห็นพ้องกันในทุกประเด็น แต่เมื่อใดที่เราร่วมมือกัน เราจะสามารถสร้างการเปลี่ยนแปลงที่ยิ่งใหญ่ให้กับประชาชนของเราและต่อโลกใบนี้ และนำไปสู่ยุคใหม่แห่งความรุ่งเรือง"
อย่างไรก็ตาม ปธน.ทรัมป์แสดงจุดยืนชัดว่าเขาไม่เห็นพ้องกับชาติพันธมิตรในหลายเรื่อง โดยหนึ่งในประเด็นที่เขาเน้นย้ำคือการขับรัสเซียออกจากกลุ่ม G7 เมื่อปี 2557 หลังจากรัสเซียเข้ายึดและผนวกรวมไครเมียเข้าเป็นส่วนหนึ่งของรัสเซีย ซึ่งทรัมป์ชี้ว่าการขับรัสเซียออกจากกลุ่มถือเป็นความผิดพลาดครั้งใหญ่
นอกจากนี้ ขณะให้สัมภาษณ์ร่วมกับคาร์นีย์ก่อนการประชุมทวิภาคี ทรัมป์ยังแสดงท่าทีเปิดกว้างต่อการนำจีนเข้าร่วมกลุ่ม G7 หลังผู้สื่อข่าวตั้งคำถามเชิงสมมติ โดยทรัมป์กล่าวว่า "ก็เป็นความคิดที่ไม่เลว"
สำหรับการประชุม G7 ในวันนี้ (17 มิ.ย.) จะเป็นวาระว่าด้วยสถานการณ์ยูเครน โดยประธานาธิบดีโวโลดิเมียร์ เซเลนสกีแห่งยูเครน คาดว่าจะเรียกร้องให้ผู้นำ G7 รวมพลังกันเพื่อยุติสงครามที่รัสเซียก่อขึ้นต่อยูเครน