ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ผู้นำสหรัฐ ประกาศวานนี้ว่า เขาจะขอเวลา 2 สัปดาห์ ก่อนที่จะตัดสินใจว่าจะทำการโจมตีอิหร่านหรือไม่ และเพื่อเปิดโอกาสสำหรับช่องทางการทูตในการเจรจาข้อตกลงนิวเคลียร์กับอิหร่าน
"จากข้อเท็จจริงที่ว่า ยังคงมีโอกาสอย่างมากสำหรับการเจรจากับอิหร่านในอนาคตอันใกล้ หรืออาจจะไม่มี ผมจะตัดสินใจว่าจะทำการโจมตีหรือไม่ภายใน 2 สัปดาห์ข้างหน้า" ปธน.ทรัมป์กล่าว
อย่างไรก็ดี นักลงทุนไม่ได้มองในแง่บวกที่ว่า การเลื่อนการตัดสินใจดังกล่าวออกไปอีก 2 สัปดาห์ ถือเป็นการเปิดโอกาสให้มีการเจรจาทางการทูตเพื่อหลีกเลี่ยงผลลัพธ์ที่เลวร้ายที่สุด ซึ่งก็คือการที่อิหร่านถูกโจมตีจนต้องประกาศปิดช่องแคบฮอร์มุซ และทำให้ราคาน้ำมันพุ่งไปแตะ 130 ดอลลาร์/บาร์เรล
แต่นักลงทุนมองว่า การเลื่อนเวลาออกไปอีก 2 สัปดาห์ ถือเป็นการเลื่อนปัญหาออกไป โดยสิ่งที่ตลาดไม่ต้องการมากที่สุด ไม่ใช่การขยายความขัดแย้ง แต่เป็นความไม่แน่นอนที่ยืดเยื้อออกไปโดยไร้ข้อสรุปที่ชัดเจน
"นั่นหมายความว่าตลาดการเงินจะต้องเผชิญกับความไม่แน่นอนต่อไปอีก 2 สัปดาห์ แต่นักลงทุนก็ยังมองว่าความขัดแย้งในตะวันออกกลางเป็นปัญหาระดับภูมิภาค ไม่ใช่ปัญหาระดับโลก" นายพอล โดโนแวน หัวหน้านักเศรษฐศาสตร์ของ UBS ระบุในรายงาน
การตัดสินใจที่ล่าช้าของปธน.ทรัมป์ในครั้งนี้เกี่ยวกับการทำสงครามกับอิหร่าน ได้สะท้อนถึงการดำเนินการที่ผ่านมาทั้งในเรื่องภาษีศุลกากร, TikTok ซึ่งเขาเพิ่งลงนามในคำสั่งวานนี้ให้ขยายเวลาขายกิจการออกไปอีก 90 วัน และขณะนี้ก็เป็นกรณีเกี่ยวกับอิหร่าน
สื่อเรียกปรากฎการณ์ที่ปธน.ทรัมป์มักทำการตัดสินใจกลับไปกลับมาว่า "TACO trade" (Trump Always Chickens Out) ซึ่งหากแปลตรงตัวก็คือ "ทรัมป์มักปอดแหก" หรือมักจะลังเล ไม่กล้าลงมือ และสุดท้ายก็ถอย แต่สำหรับตลาดการเงินแล้ว ปรากฎการณ์ดังกล่าวบ่งชี้ถึงการขาดความชัดเจน ซึ่งทำให้ภาคธุรกิจและนักลงทุนต้องหยุดชะงักในการตัดสินใจ