ส่องปฏิกิริยาผู้นำโลก หลังสหรัฐฯ โจมตีโรงงานนิวเคลียร์อิหร่าน

ข่าวต่างประเทศ Monday June 23, 2025 15:32 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

บรรดาผู้นำทั่วโลกต่างแสดงความกังวล หลังสหรัฐฯ ปฏิบัติการโจมตีโรงงานนิวเคลียร์สามแห่งของอิหร่านเมื่อสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา

ขณะนี้ทั่วโลกกำลังจับตาว่าอิหร่านจะออกมาตอบโต้เช่นไร หลังจากรัฐมนตรีต่างประเทศของอิหร่านเตือนว่า อิหร่านจะใช้สิทธิทุกทางเลือกเพื่อปกป้องอธิปไตยของประเทศ หลังจากสหรัฐฯ โจมตีโรงงานนิวเคลียร์ 3 แห่งของอิหร่านในเมืองฟอร์โด นาทานซ์ และอิสฟาฮาน


อับบาส อารักชี รัฐมนตรีต่างประเทศอิหร่าน เปิดเผยในแถลงการณ์ผ่านเอ็กซ์ (X) ว่า อิหร่านจะ "พิจารณาทุกทางเลือก" ในการตอบสนองต่อการโจมตีครั้งนี้

"เหตุการณ์ต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นเป็นเรื่องที่น่าตกตะลึงและจะมีผลกระทบในระยะยาว ... ประเทศสมาชิกสหประชาชาติแต่ละแห่งต้องตื่นตัวกับพฤติกรรมอาชญากรรม ไร้กฎเกณฑ์ และอันตรายอย่างสุดขีดนี้ ตามกฎบัตรสหประชาชาติและบทบัญญัติที่อนุญาตให้มีการตอบโต้ที่ชอบธรรมในการป้องกันตนเอง อิหร่านขอสงวนทางเลือกทั้งหมดในการปกป้องอำนาจอธิปไตย ผลประโยชน์ และประชาชนของตน" และเสริมว่า การโจมตีที่เกิดขึ้นต่อการติดตั้งนิวเคลียร์เพื่อสันติของอิหร่านจากฝีมือของสหรัฐฯ ถือเป็นการละเมิดกฎบัตร UN กฎหมายระหว่างประเทศ และสนธิสัญญาไม่แพร่กระจายอาวุธนิวเคลียร์ (Non-Proliferation Treaty) หรือ NPT อย่างร้ายแรง


ฟู่ ชง ผู้แทนถาวรของจีนประจำสหประชาชาติ ได้ประณามสหรัฐฯ จากกรณีการถล่มการโจมตีทางอากาศใส่โรงงานนิวเคลียร์ของอิหร่านระหว่างการประชุมฉุกเฉินของสภาความมั่นคง

ผู้แทนถาวรของจีนประจำสหประชาชาติ กล่าวว่า "เมื่อวานนี้ (วันเสาร์ที่ 21 มิ.ย.) สหรัฐฯ ได้เปิดฉากโจมตีโรงงานนิวเคลียร์อิหร่าน 3 แห่งในเมืองฟอร์โด นาทานซ์ และอิสฟาฮาน จีนขอประณามอย่างจริงจังต่อการโจมตีของสหรัฐฯ ต่ออิหร่านและการทิ้งระเบิดใส่โรงงานนิวเคลียร์ที่อยู่ภายใต้การดูแลของทบวงการพลังงานปรมาณูระหว่างประเทศ (IAEA)"

ฟู่ ชง ระบุว่า ความเคลื่อนไหวดังกล่าวของสหรัฐฯ ถือเป็นการละเมิดวัตถุประสงค์และหลักการของกฎบัตรสหประชาชาติและกฎหมายระหว่างประเทศอย่างร้ายแรง รวมถึงอำนาจอธิปไตย ความมั่นคง และบูรณภาพแห่งดินแดนของอิหร่าน ทั้งยังทำให้สถานการณ์ความตึงเครียดในตะวันออกกลางทวีความรุนแรงขึ้น และส่งผลกระทบต่อสนธิสัญญาการไม่แพร่ขยายอาวุธนิวเคลียร์ พร้อมทั้งเรียกร้องให้หยุดยิงและยุติสู้รบในทันที


ด้านอันโตนิโอ กูเตอเรส เลขาธิการ UN ได้ออกมาเตือนว่า การที่สหรัฐฯ โจมตีอิหร่าน ยิ่งเป็นการยกระดับความรุนแรงในภูมิภาคที่มีความเปราะบางอยู่แล้ว และถือเป็นภัยคุกคามร้ายแรงต่อสันติภาพและความมั่นคงของโลก

กูเตอเรสกล่าวในแถลงการณ์ว่า "มีความเสี่ยงมากขึ้นที่ความขัดแย้งจะลุกลามบานปลายจนเกินควบคุมอย่างรวดเร็ว ซึ่งจะส่งผลกระทบอย่างเลวร้ายต่อพลเรือน ภูมิภาค และโลกใบนี้ ... ในช่วงเวลาหน้าสิ่วหน้าขวานเช่นนี้ การหลีกเลี่ยงความโกลาหลเป็นสิ่งที่สำคัญยิ่ง ไม่มีทางออกทางการทหาร หนทางเดียวที่จก้าวไปข้างหน้าคือการทูตเท่านั้น ความหวังเดียวคือสันติภาพ"


นายกรัฐมนตรีเคียร์ สตาร์เมอร์ ของอังกฤษ ระบุว่า สถานการณ์ในตะวันออกกลางยังคงผันผวนและเสถียรภาพในภูมิภาคคือสิ่งที่ต้องให้ความสำคัญเป็นลำดับแรก พร้อมเรียกร้องให้ทางการอิหร่านหวนคืนสู่โต๊ะเจรจาและหาทางออกด้วยวิธีการทางการทูตอีกครั้ง โดยอังกฤษ ฝรั่งเศส และเยอรมนี ต่างกำลังพยายามที่จะลดความตึงเครียดของสถานการณ์ผ่านการเข้าหาอิหร่านอีกครั้งในเร็ววันนี้


ขณะที่ดมิทรี เมดเวเดฟ เจ้าหน้าที่ด้านความมั่นคงอาวุโสและอดีตผู้นำรัสเซีย ได้จิกกัดผ่านเทเลแกรมด้วยการตั้งคำถามประชดประชันว่า ทรัมป์จะได้รับรางวัลโนเบลสาขาสันติภาพหรือไม่ แม้จะเพิ่งได้รับการเสนอชื่อเมื่อเร็ว ๆ นี้ โดยระบุว่าปธน.สหรัฐฯ "ที่ก้าวเข้ามารับตำแหน่งในฐานะปธน.ผู้สร้างสันติภาพ ได้จุดชนวนสงครามใหม่ให้กับสหรัฐฯ"


นายกรัฐมนตรีชิเงรุ อิชิบะ ผู้นำญี่ปุ่นกล่าวกับนักข่าวเมื่อวันอาทิตย์ว่า "สิ่งที่สำคัญที่สุดคือการทำให้สถานการณ์สงบลงโดยเร็ว" และเสริมว่า "โครงการนิวเคลียร์ของอิหร่านต้องถูกสกัดกั้น" แม้จะไม่ได้สนับสนุนกับการกระทำของสหรัฐฯ โดยรัฐบาลของเขาจะหารือกันเกี่ยวกับความเป็นไปที่เกิดขึ้นอย่างเต็มที่


ด้านอีวาน กิล รัฐมนตรีกระทรวงต่างประเทศของเวเนซุเอลา ประณามการโจมตีของสหรัฐฯ ผ่านเทเลแกรม โดยระบุว่า "เวเนซุเอลาขอประณามการรุกรานอิหร่านของกองทัพสหรัฐฯ และเรียกร้องให้ยุติการสู้รบในทันที โดยเวเนซุเอลาได้ประณามอย่างหนักแน่นและเด็ดขาดต่อการปูพรมทิ้งระเบิดของกองทัพสหรัฐฯ ใส่โรงงานนิวเคลียร์ฟอร์โด นาทานซ์ และอิสฟาฮานในอิหร่าน ตามคำร้องของอิสราเอล"


กระทรวงต่างประเทศของเม็กซิโกเองก็ออกมาเรียกร้องให้มีการหารือทางการทูตโดยระบุผ่านเอ็กซ์ (X) ว่า "กระทรวงฯ ขอเรียกร้องให้ทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องในความขัดแย้งดำเนินการเจรจาทางการทูตเพื่อสันติ เพื่อให้เป็นไปตามหลักการนโยบายต่างประเทศตามรัฐธรรมนูญและความเชื่อมั่นในสันติภาพของประเทศของเรา เราขอเน้นย้ำให้ลดระดับความรุนแรงของสถานการณ์ลง การฟื้นฟูการอยู่ร่วมกันอย่างสันติระหว่างประเทศในภูมิภาคเป็นสิ่งที่ต้องให้ความสำคัญมากที่สุด"


โฆษกของทางการออสเตรเลียเองก็เรียกร้องให้ลดความรุนแรงโดยระบุว่า "เราได้ชี้แจงอย่างชัดเจนแล้วว่า โครงการนิวเคลียร์และขีปนาวุธของอิหร่านเป็นภัยคุกคามต่อสันติภาพและความมั่นคงระหว่างประเทศ เราได้รับทราบถึงถ้อยแถลงของปธน.สหรัฐฯ แล้วว่าตอนนี้เป็นเวลาของสันติภาพ สถานการณ์ความมั่นคงในภูมิภาคยังคงผันผวนสูง เราขอเดินหน้าเรียกร้องให้มีการลดความตึงเครียด การเจรจา และการทูต ต่อไป"


โฆษกปธน.เกาหลีใต้เปิดเผยกับสื่อในประเทศว่า สภาความมั่นคงแห่งชาติของเกาหลีใต้ได้ประชุมกันเมื่อวันอาทิตย์ โดยที่ปรึกษาวี ซุง-แล็ก เรียกร้องให้ "กระทรวงที่เกี่ยวข้องลดผลกระทบจากความเป็นไปที่เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องในภูมิภาคตะวันออกกลางในช่วงนี้ให้เหลือน้อยที่สุด"


ขณะที่สมเด็จพระสันตะปาปาเลโอตรัสว่า ประชาคมโลกต้องพยายามหลีกเลี่ยงสงครามที่เสี่ยงต่อการเปิดประตูนรกที่ไม่สามารถแก้ไขได้ และควรใช้การทูตแทนความขัดแย้ง โดยพระองค์ตรัสระหว่างการภาวนาประจำสัปดาห์กับเหล่าผู้แสวงบุญว่า "สมาชิกของทุกประชาคมระหว่างประเทศมีความรับผิดชอบทางศีลธรรม เพื่อยุติสงครามแห่งโศกนาฏกรรม ก่อนที่จะกลายเป็นประตูสู่นรกที่ไม่อาจแก้ไขได้ ... ไม่มีชัยชนะในการต่อสู้ใดสามารถลบล้างความเจ็บปวดของผู้เป็นมารดา ความกลัวของเด็ก ๆ หรืออนาคตที่ถูกพรากไปได้ ให้การทูตยุติการฆ่าฟัน ปล่อยให้แต่ละชาติกำหนดอนาคตด้วยความพยายามอย่างสันติ ไม่ใช่ด้วยความรุนแรงและความขัดแย้งนองเลือด"


ส่วนเกาหลีเหนือได้ออกมาประณามอย่างรุนแรงต่อกรณีที่สหรัฐฯ ใช้ปฏิบัติการทางทหารโจมตีโรงงานนิวเคลียร์ของอิหร่าน

สำนักข่าวกลางเกาหลี (KCNA) ของทางการเกาหลีเหนือ ระบุว่า การโจมตีดังกล่าว "เป็นการละเมิดกฎบัตรสหประชาชาติอย่างร้ายแรง ซึ่งมีหลักการพื้นฐานว่าด้วยการเคารพอธิปไตยและการไม่แทรกแซงกิจการภายใน รวมถึงบรรทัดฐานอื่น ๆ ของกฎหมายระหว่างประเทศ และยังเป็นการเหยียบย่ำบูรณภาพแห่งดินแดนและผลประโยชน์ด้านความมั่นคงของรัฐอธิปไตยอย่างรุนแรง"


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ