เมื่อวานนี้ (1 ก.ค.) ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ผู้นำสหรัฐฯ ได้จุดประเด็นแนวคิดที่จะปรับเพิ่มภาษีนำเข้าสินค้าจากญี่ปุ่นขึ้นไปอีก โดยมองไปถึงตัวเลขที่สูงถึง 30% หรือ 35% ถือเป็นการเล่นงานพันธมิตรรายสำคัญของสหรัฐฯ ท่ามกลางการเจรจาการค้าสองฝ่ายที่ยังคงไร้ความคืบหน้า
"ผมไม่แน่ใจว่าเราจะตกลงกันได้ไหม ผมว่าคงจะยาก" ทรัมป์กล่าวกับผู้สื่อข่าวบนเครื่องบินแอร์ฟอร์ซวัน พร้อมเรียกญี่ปุ่นว่า "แข็งข้อมาก" และ "ถูกตามใจจนเสียคน"
สำนักข่าวเกียวโดรายงานว่า ทรัมป์ยังคงตอกย้ำข้อร้องเรียนเดิม ๆ ว่า ญี่ปุ่นนำเข้ารถยนต์และข้าวจากสหรัฐฯ ไม่มากพอ โดยกล่าวหาว่า "เรื่องการค้านี่ พวกเขาเอาเปรียบมาตลอด และยุคนั้นมันหมดไปแล้ว"
ทรัมป์ระบุว่าเขาจะส่งจดหมายถึงญี่ปุ่นพร้อมเนื้อหาว่า "ขอบคุณมากนะครับ ... เรารู้ว่าคุณทำสิ่งที่เราต้องการไม่ได้หรอก ดังนั้นคุณก็ต้องจ่ายภาษี 30% หรือ 35% หรือจะเท่าไหร่ก็ตามที่เรากำหนด"
ทรัมป์ให้ความเห็นดังกล่าวเมื่อถูกถามว่า เขากำลังพิจารณาขยายเวลาการพักเก็บภาษี 90 วัน ซึ่งจะหมดลงในวันที่ 9 กรกฎาคมนี้หรือไม่
การพักเก็บภาษีดังกล่าวมีขึ้นเพื่อเปิดทางให้การเจรจากับคู่ค้าหลักของสหรัฐฯ ดำเนินไปได้ ซึ่งในช่วงไม่กี่วันที่ผ่านมา ทรัมป์ได้พุ่งเป้าโจมตีญี่ปุ่นเป็นพิเศษในประเด็นการค้า
ภายใต้มาตรการภาษีแบบตอบโต้ที่ทรัมป์เรียกว่า "Liberation Day" (วันแห่งการปลดปล่อย) ปัจจุบันญี่ปุ่นต้องเผชิญกับภาษีที่เรียกเก็บเพิ่มอีก 14% ทำให้รวมแล้วเป็น 24%
การพักเก็บภาษี 90 วันนี้จะใช้เฉพาะกับภาษีที่เก็บเพิ่มจากบางประเทศภายใต้มาตรการดังกล่าวเท่านั้น ซึ่งครอบคลุมคู่ค้าประมาณ 60 รายที่เกินดุลการค้ากับสหรัฐฯ อย่างมีนัยสำคัญ แต่ไม่มีผลกระทบต่อภาษีพื้นฐาน 10% ที่เก็บจากสินค้านำเข้าทั่วโลก