กระทรวงพาณิชย์สหรัฐฯ ประกาศเมื่อวันจันทร์ (14 ก.ค.) ว่า จะเรียกเก็บภาษีนำเข้า 17.09% สำหรับมะเขือเทศสดส่วนใหญ่จากเม็กซิโก ซึ่งถือเป็นการถอนตัวจากข้อตกลงระงับการไต่สวนการใช้มาตรการตอบโต้การทุ่มตลาดมะเขือเทศที่ลงนามร่วมกันเมื่อปี 2562
สำนักข่าวซินหัวรายงานว่า ก่อนหน้านี้ เมื่อเดือนเม.ย. กระทรวงฯ ระบุว่าข้อตกลงดังกล่าวไม่สามารถปกป้องเกษตรกรผู้ปลูกมะเขือเทศในสหรัฐฯ จากการนำเข้าที่มีราคาต่ำเกินจริงจากเม็กซิโกได้ และเผยว่าได้รับความคิดเห็นจากผู้ปลูกมะเขือเทศชาวอเมริกันจำนวนมากที่เรียกร้องให้ยุติข้อตกลงนี้ โดยกระทรวงฯ ย้ำว่า การดำเนินการดังกล่าวจะเปิดทางให้เกษตรกรในประเทศแข่งขันในตลาดได้อย่างเป็นธรรมมากขึ้น
ปัจจุบัน กระทรวงฯ มีคำสั่งเรียกเก็บภาษีต่อต้านการทุ่มตลาดและตอบโต้การอุดหนุนจำนวน 734 รายการ ซึ่งช่วยเยียวยาธุรกิจและอุตสาหกรรมในประเทศที่ได้รับผลกระทบจากการค้าที่ไม่เป็นธรรม
ข้อมูลจากหอสังเกตการณ์ความซับซ้อนทางเศรษฐกิจ (OEC) ระบุว่า สหรัฐฯ นำเข้ามะเขือเทศมูลค่า 3.63 พันล้านดอลลาร์ในปี 2567 โดยกว่า 3.12 พันล้านดอลลาร์ หรือราว 86% มาจากเม็กซิโก
แม้ผู้ปลูกมะเขือเทศในสหรัฐฯ อาจยินดีกับมาตรการนี้ซึ่งออกแบบมาเพื่อปกป้องพวกเขาจากการแข่งขันด้านราคา แต่รายงานข่าวระบุว่า หลายฝ่ายกังวลว่าภาษีใหม่นี้อาจส่งผลให้ราคามะเขือเทศสูงขึ้น และอาจกระทบต่อซัพพลายเชนมะเขือเทศซึ่งเป็นผักที่บริโภคมากเป็นอันดับสองในสหรัฐฯ
ทั้งนี้ หอการค้าสหรัฐฯ และกลุ่มธุรกิจอีกประมาณ 30 องค์กร ได้ร่วมกันส่งจดหมายโฮเวิร์ด ลุตนิก รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์สหรัฐฯ เพื่อเรียกร้องให้ทบทวนการถอนตัวจากข้อตกลงดังกล่าว โดยให้เหตุผลว่า การยุติข้อตกลงอาจสร้างความปั่นป่วนให้กับซัพพลายเชนมะเขือเทศของสหรัฐฯ และส่งผลลบต่อเศรษฐกิจในภาพรวม