วันนี้ (18 ก.ค.) สภาผู้แทนราษฎรแห่งสหรัฐฯ ซึ่งพรรครีพับลิกันครองเสียงข้างมาก ได้ลงมติผ่านร่างกฎหมายตัดลดงบประมาณ 9 พันล้านดอลลาร์สหรัฐสำหรับสื่อสาธารณะและความช่วยเหลือต่างประเทศ ตามข้อเสนอของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ โดยร่างกฎหมายดังกล่าวได้ถูกส่งไปยังทำเนียบขาวเพื่อรอการลงนามแล้ว
ที่ประชุมมีมติเห็นชอบด้วยคะแนนเสียงเฉียดฉิว 216 ต่อ 213 เสียง โดยร่างกฎหมายฉบับนี้เป็นฉบับที่ผ่านการแก้ไขจากวุฒิสภา ซึ่งได้ยกเว้นการตัดงบประมาณราว 400 ล้านดอลลาร์สำหรับโครงการป้องกันเอชไอวี/เอดส์ระดับโลก (PEPFAR) ไว้ ในการลงมติครั้งนี้ มีสมาชิกสภาฯ จากพรรครีพับลิกันเพียง 2 คนที่โหวตสวนมติพรรค
สส.ที่สนับสนุนร่างกฎหมายดังกล่าวมองว่า ทางสภาได้ลงมติผ่านร่างกฎหมายดังกล่าวเพื่อตัดรายจ่ายสิ้นเปลือง โดยเป็นก้าวกระโดดที่ยิ่งใหญ่สู่เสถียรภาพทางการคลัง ขณะที่ผู้คัดค้านแย้งว่า การตัดงบครั้งนี้บั่นทอนความสามารถในการรักษาความปลอดภัยของคนในชาติและทำลายซอฟต์พาวเวอร์ของอเมริกาในเวทีโลก และจะทำให้ชาวอเมริกันในชนบทเข้าถึงข้อมูลฉุกเฉินผ่านวิทยุสาธารณะได้ยากขึ้น
การลงมติครั้งนี้ล่าช้าไปหลายชั่วโมง เนื่องจากความขัดแย้งภายในพรรครีพับลิกันเอง เกี่ยวกับประเด็นการเปิดเผยเอกสารของเจฟฟรีย์ เอปสตีน นักการเงินผู้ฉาวโฉ่และผู้กระทำผิดทางเพศซึ่งเสียชีวิตไปแล้ว เพื่อให้การลงมติเดินหน้าต่อได้ พรรครีพับลิกันจึงยื่นมติแยกต่างหากเพื่อเรียกร้องให้อัยการสูงสุดเปิดเผยเอกสารดังกล่าว แต่มตินี้กลับถูกแกนนำเดโมแครตวิจารณ์ว่า เป็นเพียงแถลงการณ์ที่ไร้ผลในทางปฏิบัติ
นี่นับเป็นครั้งที่สองที่ร่างกฎหมายนี้ผ่านสภาผู้แทนฯ ด้วยคะแนนเสียงที่สูสี โดยเมื่อเดือนมิ.ย. ที่ผ่านมา ร่างฯ ฉบับเดิมเคยผ่านไปได้ด้วยคะแนน 214-212 เสียง ทำให้ครั้งนี้พรรครีพับลิกันตกอยู่ภายใต้แรงกดดันอย่างหนักที่จะต้องผ่านร่างฉบับแก้ไขของวุฒิสภาให้ได้ภายในวันนี้ มิฉะนั้นรัฐบาลทรัมป์จะถูกบังคับให้ต้องใช้จ่ายงบประมาณก้อนนี้ตามกฎหมายเดิม
งบประมาณ 9 พันล้านดอลลาร์ที่ถูกตัดไป คิดเป็นสัดส่วนเพียง 0.1% ของงบประมาณแผ่นดินทั้งหมด 6.8 ล้านล้านดอลลาร์ โดยพรรครีพับลิกันอ้างว่า งบช่วยเหลือต่างชาติถูกใช้ไปอย่างสิ้นเปลือง ส่วนงบสื่อสาธารณะ 1 พันล้านดอลลาร์ก็สนับสนุนสื่อที่มีอคติต่อฝ่ายอนุรักษนิยม
ก่อนหน้านี้ในวันพฤหัสบดี (17 ก.ค.) วุฒิสภาได้ผ่านร่างกฎหมายนี้ด้วยคะแนน 51-48 เสียง โดยมีวุฒิสมาชิกจากรีพับลิกันเพียง 2 คนที่คัดค้าน
ทั้งนี้ มาตรการยกเลิกงบประมาณ (rescission) ลักษณะนี้ต้องการเพียงเสียงข้างมากธรรมดาในวุฒิสภา ต่างจากกฎหมายงบประมาณทั่วไปที่ต้องใช้ถึง 60 เสียง ซึ่งผู้นำเดโมแครตได้เตือนว่า การผลักดันกฎหมายโดยอาศัยเสียงข้างมากจากพรรคเดียว อาจทำลายความร่วมมือระหว่างพรรคที่จำเป็นต่อการผ่านกฎหมายงบประมาณในอนาคต ขณะเดียวกัน เจ้าหน้าที่รัฐบาลทรัมป์ รวมถึงผู้อำนวยการสำนักงบประมาณฯ ประกาศว่าจะยื่นเรื่องขอยกเลิกงบประมาณในลักษณะนี้เพิ่มเติมอีก